เป็นเวลา 10 เดือนเต็ม ที่ทุกวันเสาร์ เที่ยง ถึง ห้าโมงเย็น ต้องเปลี่ยนสถานะตัวเองจากครูสอนโยคะ ไปเป็นนักเรียน ในหลักสูตรครูสมาธิ ของสถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขา 5 (สมาคมแต้จิ๋ว สงขลา – ตอนหลังย้ายไปเรียนที่วัดดอนรัก สงขลา) ซึ่งเป็นหลักสูตร ของ วัดธรรมมงคล กรุงเทพ เขียนหลักสูตรโดย พระอาจารย์หลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินฺธโร
อ่านถึงตอนนี้ หลายคนคงเริ่มสงสัย สมาธิต้องไปเรียนกันด้วยเหรอ (มีเพื่อนหลายคนเคยถามแบบนี้ค่ะ) เห็นใคร ๆ เค้านั่งกันไม่ต้องเรียนซักหน่อย
ตอบค่ะ ว่ามีค่ะ ที่นี่เค้าเขียนเป็นตำรากันเลยทีเดียว แบ่งเป็น 3 เล่ม รวมเวลาหลักสูตร 1 ปี ค่ะ เวลานานแบบนี้ ถือเป็นการคัดกรองผู้เรียนไปในตัวค่ะ ใครขาดความมุ่งมั่นและศรัทธา ก็อยู่กันไม่ครบค่ะ อันนี้ก็ไม่ว่ากัน
เดิมทีเดียว มีพี่กัลยาณมิตร ที่รู้จักกัน เจอกันทีไรจะเล่าให้ฟังว่าไปเรียนหลักสูตรครูสมาธิ และมักจะจบด้วยประโยคว่า “อยากให้น้องจอยไปเรียน” ตอนนั้นก็ได้แต่ฟังค่ะแต่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากมีชั่วโมงสอนโยคะ บ่ายวันเสาร์
แต่มาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จำนวนนักเรียนตอนบ่ายวันเสาร์น้อยมาก ถึงไม่มีเลยในบางสัปดาห์ เลยตัดสินใจยกเลิกชั่วโมงสอนบ่ายวันเสาร์ แล้วไปสมัครเรียนสมาธิ ซึ่งตอนนั้นเค้าเรียนกันล่วงหน้าไป 2 เดือนแล้วค่ะ แต่อาจารย์ท่านก็มีเมตตารับให้เข้าเรียนค่ะ เรียนไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก รวบรวมความคิดของตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไปค่ะ ได้มากได้น้อย ไม่เป็นไร แต่เราได้ปฏิบัติ (ข้อนี้สำคัญมาก) คือ ทั้งตอนที่ไปเรียนทุกวันเสาร์ และกลับมาทำการบ้านส่งอาจารย์
สงสัยกันล่ะสิ ว่ามีการบ้านด้วยเหรอ ??
การบ้าน คือ การเดินจงกรม และนั่งสมาธิ ค่ะ ทำให้ได้ วันละ 30 นาที แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการนั่งสมาธิเสียมากกว่า ไม่ค่อยได้เดินจงกรมเลย อาศัยเดินวันที่ไปเรียนอย่างเดียว
ทีนี้มาดูนะคะว่า เค้าเรียนอะไรกันบ้าง???
ภาคทฤษฎี และปฏิบัติ (เดินจงกรม, นั่งสมาธิ)
ภาคทฤษฎี
หลักสูตรครูสมาธิ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้นำวิชาสมาธิ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง และสามารถนำไปสอนผู้อื่นได้ เลยเรียกหลักสูตรว่า ครูสมาธิ
ในหลักสูตรมีตำรา 3 เล่ม ที่หลวงพ่อวิริยังค์ เขียนขึ้นมา โดยไม่ขายให้บุคคลทั่วไป จะขายให้เฉพาะนักเรียนสมาธิเท่านั้น เพราะท่านไม่ประสงค์ให้อ่านเองโดยไม่มีอาจารย์อธิบาย เพราะอาจตีความผิดได้
เนื้อหาในตำรา ประกอบไปด้วย เรื่องของ สมาธิ ฌาน ญาณ และวิปัสสนา
เมื่อมาถึงตอนนี้ ก็ขอถ่ายทอดสิ่งดี ๆ ที่พอจะสรุปใจความได้คร่าว ๆ ให้ฟังนะคะ (ขอพูดเฉพาะเรื่องสมาธิอย่างเดียวค่ะ)
สมาธิ คือ การมีจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เพื่อผลิตพลังจิต
สามารถแบ่งสมาธิได้ 2 แบบ คือ สมาธิธรรมชาติ และสมาธิสร้างขึ้น
สมาธิธรรมชาติ เป็นสมาธิที่ทุกคนมีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น สมาธิที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ในการทำงาน การเรียน ซึ่งเราเรียกได้ว่า เป็นสมาธิตื้น คือ เราสามารถควบคุมจิตได้ ส่วนการพักผ่อนนอนหลับก็ถือเป็นสมาธิธรรมชาติด้วยเหมือนกัน แต่เป็นสมาธิลึก เพราะเราควบคุมจิตไม่ได้
ส่วนสมาธิสร้างขึ้น คือ การทำสมาธิที่นอกเหนือจากสมาธิธรรมชาติที่เรามีอยู่ เช่นการนั่งสมาธิ การเดินจงกรม
จุดประสงค์ ในการทำสมาธิสร้างขึ้น เพื่อสะสมพลังจิต แล้วสะสมไปเพื่ออะไร??
เมื่อเราเริ่มต้นฝึกสมาธิ ถือเป็นการกำจัดอารมณ์ต่าง ๆ เนื่องจากความสุข ความทุกข์ ของจิตปกตินั้น ยึดติดอยู่กับอารมณ์ต่าง ๆ เช่น อารมณ์โกรธ อารมณ์เกลียด อารมณ์รัก อารมณ์น้อยใน อารมณ์เสียใจ ฯลฯ แต่การทำสมาธิกลับกัน คือ ให้เอาจิตที่ปราศจากอารมณ์เป็นที่ยึดเหนี่ยว
เมื่อทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง จิตจะเกิดการสะสมพลังจิต ทำให้จิตมีความเข้มแข็งมากขึ้น เมื่อจิตมีความเข้มแข็งมากขึ้น อารมณ์ที่เข้ามากระทบจิตหรือใจ ก็จะอ่อนกำลังลง ทำอะไรกับจิตเราได้ แต่เบาบางลง เราก็ไม่ทุกข์มาก ไม่เครียดมาก หรือความทุกข์ ความเครียดจะอยู่กับเราไม่นาน (เปรียบเหมือนคนที่ออกกำลังกาย เมื่อออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ร่างกายก็ย่อมมีความแข็งแรงและมีความต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาสู่ร่างกาย อาจจะป่วยแต่ไม่มาก ฟื้นตัวเร็ว หรืออาจจะไม่ป่วยเลย)
และเมื่อสมาธิมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น จะสามารถยับยั้งจิตที่ฟุ้งซ่าน, สามารถแก้ความเครียด ความกังวลได้, ทำให้นอนหลับสบาย, และเป็นการเสริมให้การปฎิบัติการงาน การเรียน การใช้ชีวิตประจำวันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีความรอบคอบในการทำงานมากขึ้น มีสติมากขึ้น และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น
ส่วนผลที่เกิดขึ้นภายในใจ คือ ทำให้เกิดความเยือกเย็น ความสบาย ความผ่องใส ความชุ่มเย็น ความสงบและความสุขภายใจ ที่ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง
ทางสถาบันมีสโลแกน ว่า : สมาธิ ต้องทำทุกวัน อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
(ซึ่งครูขอยืนยันว่า ถ้าทำได้อย่างต่อเนื่องจริง รับประกันว่า เราจะไม่วิ่งหาความสุขจากปัจจัยภายนอก จากวัตถุ จากบุคคลอื่น เพราะความสุขได้เกิดขึ้นแล้วในใจของผู้ปฏิบัติอย่างแน่นอนค่ะ)
ส่วนเรื่องที่ลึกกว่านี้ คือ เรื่อง ฌาน ญาณ และวิปัสสนา ขอไม่กล่าวถึง เพราะถ้าถ่ายทอดได้ไม่ถูกต้องจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี สำหรับผู้ที่สนใจรู้หรืออยากศึกษาให้ลึกกว่านี้ แนะนำให้มาเรียนหลักสูตรครูสมาธินะคะ เป็นประโยชน์กับทุกคนจริง ๆ ค่ะ
วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554
รู้ก่อนลด (ความอ้วน)
การลดความอ้วน
การลดความอ้วนด้วยการกินยา หรือคุมอาหาร หรืออดอาหาร ทำให้ลดความอ้วนได้ก็จริง แต่จังหวะที่ร่างกายเอาไขมันไปสลายเป็นพลังงานนั้น มันไม่เพียงแต่สลายไขมันเพียงอย่างเดียว แต่ร่างกายจะสลายกล้ามเนื้อไปเป็นพลังงานด้วย ทำให้การลดความอ้วนนั้นเป็นการลดทั้งไขมันและกล้ามเนื้อของร่างกายไปพร้อม ๆ กัน
กล้ามเนื้อ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะในภาวะปกติกล้ามเนื้อจะเป็นตัวใช้พลังงานส่วนเกินของร่างกาย ทำให้พลังงานส่วนเกินไม่สะสมเป็นไขมัน
ทำอย่างไรเราจะลดความอ้วนโดยบังคับให้สลายเฉพาะไขมัน โดยที่ยังคงกล้ามเนื้อเอาไว้ได้ เพราะถ้าเราปล่อยให้กล้ามเนื้อถูกสลายไปด้วย เวลาที่ร่างกายของเราอ้วนกลับคืน ไขมันจะเข้าไปแทนที่ทั้งไขมันเดิมและกล้ามเนื้อที่หายไป
ความจริงอีกข้อหนึ่ง คือ ช่วงแรกของการลดความอ้วน ไขมันที่อยู่ในเซลล์ไขมันจะถูกนำไปใช้ แต่ตัวเซลล์ไขมันไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย ถ้าเราคุมน้ำหนักได้ไม่นานพอ แล้วกลับมาตามใจปากอีก เซลล์ไขมันที่รอจังหวะพองตัวสะสมไขมันก็กลับมาสะสมอีก ฉะนั้นเราคงต้องเข้าใจว่าการลดความอ้วนเป็นการแข่งมาราธอน ต้องใช้เวลาและความอดทน ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ลดไป ไม่ต้องรีบร้อน
การออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30-60 นาที เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายของเรายังคงอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนัก และในช่วงที่เราลดความอ้วนจนได้น้ำหนักตัวที่พอดีแล้ว กล้ามเนื้อของเราจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานส่วนเกินต่อไป และทำให้เราคุมความอ้วนไม่ให้กลับมาง่าย ๆ และอย่างลืมว่าเราต้องออกกำลังกายไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้กลับมาอ้วนอีก และยังช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย
เจาะลึกยาลดความอ้วนยาลดความอ้วน แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ได้แก่
ยาที่ทำให้ไม่หิว ส่วนใหญ่เป็นยาที่ควบคุมโดยคณะกรรมการอาหารและยา ต้องสั่งซื้อจากกองควบคุมวัตถุเสพติด คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ข้อดี คือ ทำให้ไม่หิว กินอาหารได้น้อยลง ร่างกายจึงต้องดึงเอาไขมันกับกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงาน ทำให้น้ำหนักลดลงได้ไว แต่มีปัญหาคือ ร่างกายดื้อยาได้ง่าย พอกินไปสักพักก็ต้องเพิ่มขนาดยาขึ้น ไม่อย่างนั้นน้ำหนักจะไม่ลด ที่สำคัญคือ ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 3 เดือน
ยาขับปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักตัวจะลดลง เพราะน้ำในร่างกายถูกขับออกมาเป็นปัสสาวะ แต่ความอ้วนไม่ได้ลดลงไปด้วย วิธีนี้ได้ผลในแง่จิตใจของคนไข้ว่า ชั่งน้ำหนักแล้วน้ำหนักตัวลดลง
ยาเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย จะไปเร่งเมตาบอลิซึ่มของร่างกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แต่คุณหมอบางท่านไม่แนะนำให้ใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้มีปัญหาเรื่องต่อมไธรอยด์ตามมาได้ในอนาคต
ยาคลายเครียดบางตัว ทำให้เบื่ออาหาร จึงมีการนำมาใช้ในการลดน้ำหนักอย่างแพร่หลายเช่นกัน
ยาลดการดูดซึมไขมันจากทางเดินอาหาร เป็นยากลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์ โดยการยับยั้งเอนไซม์ในทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายไม่ดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย ยาตัวนี้ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ แต่หากใช้ไปนาน ๆ อาจทำให้ร่างกายขาดไขมันที่จำเป็นได้ บางคนอาจมีอาการถ่ายเหลวเป็นไขมันที่ไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย บางรายอาจมีอาการอุจจาระเล็ดออกมาเนื่องจากไขมันที่ไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็เป็นได้
นอกจากนี้ยังมีพวกอาหารเสริม วิตามินต่าง ๆ ที่ชวนให้เชื่อว่าได้ผลในการลดความอ้วน
น้ำหนักตัวนิ่งไม่ยอมลง
ช่วงแรกของการลดน้ำหนักบางคนอาจเห็นตัวเลขไต่ลงไปเรื่อย ๆ แต่พอได้ซักระยะหนึ่งน้ำหนักตัวเริ่มนิ่ง ไม่ยอมลงอีก ลองมาสังเกตพฤติกรรมการกินดูนะคะว่า เราเริ่มกินของจุบจิบมากขึ้น หรือว่ากินผลไม้ที่มีส่วนผสมของแป้งเยอะหรือกินผลไม้รสหวานมากเกินไปรึเปล่า ลองลดปริมาณของกินเหล่านั้นดูนะคะ
โยโย่หลังลดความอ้วน
การลดความอ้วนด้วยการกินยาลดความอ้วน อดอาหาร หรือคุมอาหาร โดยที่ไม่ได้ออกกำลังกาย จะทำให้ร่างกายปรับตัว โดยการดึงเอาไขมันและกล้ามเนื้อ ในร่างกายมาสลายเป็นพลังงาน ผลคือ น้ำหนักตัวลดลงสมใจ แต่หารู้ไม่ว่าการใช้วิธีการแบบนั้น จะทำให้สิ่งที่จำเป็นสำหรับการป้องกันอาการโยโย่หายไปด้วย
กล้ามเนื้อในร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการโยโย่ หลังจากที่เราควบคุมความอ้วนให้น้ำหนักตัวลดลงจนพอใจแล้ว พวกเรามักหันกลับไปกินอาหารแบบเดิม ๆ ที่อุดมไปด้วย ข้าว ไขมัน และน้ำตาล แบบที่เคยกินมาตลอด แถมไม่ออกกำลังกายอีกด้วย
สิ่งสำคัญในการป้องกันโยโย่
คือ ต้องออกกำลังกายให้พอเหมาะ ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ เพราะในการลดความอ้วนช่วงแรก การออกกำลังกายจะช่วยป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อที่มีค่ายิ่ง ถูกสลายไปพร้อม ๆ กับไขมัน ในช่วงสุดท้ายของการลดน้ำหนัก กล้ามเนื้อจะเป็นตัวคอยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินไม่ให้กลายเป็นไขมัน มาพอกที่ร่างกายของเรา ทำให้เกิดอาการโยโย่จนน้ำหนักตัวย้อนกลับมาเพิ่มขึ้นหนักกว่าเก่าอีก หลังจากหยุดลดความอ้วน ไม่ว่าคุณเคยลดความอ้วนด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม
สูตรในการลดความอ้วน
พลังงานที่ถูกเผาผลาญออกไป = พลังงานจากอาหารที่กิน-พลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน-พลังงานที่ใช้ไปในการออกกำลังกาย
พลังงานที่ถูกเผาผลาญออกไป ควรมีค่าเป็น ลบ ตลอด เพราะจะทำให้ร่างกายดึงเอาพลังงานส่วนเกินที่สะสมในร่างกายมาใช้ เช่น จากไขมัน ร่างกายของคุณก็จะผอมลง ความอ้วนลดลง น้ำหนักตัวก็ลดลง
การเร่งให้ร่างกายใช้พลังงานมากขึ้นด้วยการออกกำลังกายทุกวัน ถือเป็นกลยุทธ์ที่ใช้เสริมในการลดความอ้วนให้เห็นผลเร็วยิ่งขึ้น
เคล็ดลับสำคัญของการลดความอ้วนและควบคุมน้ำหนักตัว ไม่ให้อ้วนขึ้น คือ น้ำตาล แป้ง และข้าว
สิ่งเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญที่จะถูกย่อยในทางเดินอาหาร กลายเป็นน้ำตาล และถูกเผาผลาญเป็นพลังงานในร่างกาย ถ้าเรากินอาหารทั้งสามจำพวกนี้มากเกินไป สิ่งที่ตามมา ก็คือ มันจะกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย
การลดน้ำตาลในเลือด
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือการเป็นเบาหวาน หากเป็นนาน ๆ จะส่งผลเสียต่ออวัยวะในร่างกาย เช่น ไต ทำให้ไตเสื่อม กลายเป็นโรคไตวายเรื้อรังในระยะยาวได้ คนที่เป็นเบาหวาน จะมีระบบการจัดการน้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือดไม่ได้ดีเท่าที่ควร ทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อย
ความอ้วนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นเบาหวาน เพราะความอ้วนจะส่งผลให้ฮอร์โมนอินซูลินที่ผลิตจากตับอ่อนของเราไม่สามารถจัดการกับน้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือดได้ การลดความอ้วนในคนที่อ้วนและมีอาการของโรคเบาหวาน จะช่วยให้การทำงานของฮอร์โมนอินซูลินดีขึ้น อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจะมีความเสี่ยงต่อการเสื่อมน้อยลง เพราะถ้าน้ำตาลในกระแสเลือดสูง อวัยวะของร่างกายก็มีโอกาสเสื่อมได้มากขึ้น
คนไทยกินข้าวเจ้า และข้าวเหนียวเป็นหลัก ซึ่ง ข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวจะถูกย่อยในทางเดินอาหารได้ง่าย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว หากเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยการกิน โดยหันไปกินข้าวกล้อง หรือกินผักมากขึ้น จะทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น อวัยวะในร่างกายจะเสื่อมจากโรคเบาหวานช้าลงด้วย
การลดความอ้วนด้วยการกินยา หรือคุมอาหาร หรืออดอาหาร ทำให้ลดความอ้วนได้ก็จริง แต่จังหวะที่ร่างกายเอาไขมันไปสลายเป็นพลังงานนั้น มันไม่เพียงแต่สลายไขมันเพียงอย่างเดียว แต่ร่างกายจะสลายกล้ามเนื้อไปเป็นพลังงานด้วย ทำให้การลดความอ้วนนั้นเป็นการลดทั้งไขมันและกล้ามเนื้อของร่างกายไปพร้อม ๆ กัน
กล้ามเนื้อ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะในภาวะปกติกล้ามเนื้อจะเป็นตัวใช้พลังงานส่วนเกินของร่างกาย ทำให้พลังงานส่วนเกินไม่สะสมเป็นไขมัน
ทำอย่างไรเราจะลดความอ้วนโดยบังคับให้สลายเฉพาะไขมัน โดยที่ยังคงกล้ามเนื้อเอาไว้ได้ เพราะถ้าเราปล่อยให้กล้ามเนื้อถูกสลายไปด้วย เวลาที่ร่างกายของเราอ้วนกลับคืน ไขมันจะเข้าไปแทนที่ทั้งไขมันเดิมและกล้ามเนื้อที่หายไป
ความจริงอีกข้อหนึ่ง คือ ช่วงแรกของการลดความอ้วน ไขมันที่อยู่ในเซลล์ไขมันจะถูกนำไปใช้ แต่ตัวเซลล์ไขมันไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย ถ้าเราคุมน้ำหนักได้ไม่นานพอ แล้วกลับมาตามใจปากอีก เซลล์ไขมันที่รอจังหวะพองตัวสะสมไขมันก็กลับมาสะสมอีก ฉะนั้นเราคงต้องเข้าใจว่าการลดความอ้วนเป็นการแข่งมาราธอน ต้องใช้เวลาและความอดทน ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ลดไป ไม่ต้องรีบร้อน
การออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30-60 นาที เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายของเรายังคงอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนัก และในช่วงที่เราลดความอ้วนจนได้น้ำหนักตัวที่พอดีแล้ว กล้ามเนื้อของเราจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานส่วนเกินต่อไป และทำให้เราคุมความอ้วนไม่ให้กลับมาง่าย ๆ และอย่างลืมว่าเราต้องออกกำลังกายไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้กลับมาอ้วนอีก และยังช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย
เจาะลึกยาลดความอ้วนยาลดความอ้วน แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ได้แก่
ยาที่ทำให้ไม่หิว ส่วนใหญ่เป็นยาที่ควบคุมโดยคณะกรรมการอาหารและยา ต้องสั่งซื้อจากกองควบคุมวัตถุเสพติด คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ข้อดี คือ ทำให้ไม่หิว กินอาหารได้น้อยลง ร่างกายจึงต้องดึงเอาไขมันกับกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงาน ทำให้น้ำหนักลดลงได้ไว แต่มีปัญหาคือ ร่างกายดื้อยาได้ง่าย พอกินไปสักพักก็ต้องเพิ่มขนาดยาขึ้น ไม่อย่างนั้นน้ำหนักจะไม่ลด ที่สำคัญคือ ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 3 เดือน
ยาขับปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักตัวจะลดลง เพราะน้ำในร่างกายถูกขับออกมาเป็นปัสสาวะ แต่ความอ้วนไม่ได้ลดลงไปด้วย วิธีนี้ได้ผลในแง่จิตใจของคนไข้ว่า ชั่งน้ำหนักแล้วน้ำหนักตัวลดลง
ยาเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย จะไปเร่งเมตาบอลิซึ่มของร่างกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แต่คุณหมอบางท่านไม่แนะนำให้ใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้มีปัญหาเรื่องต่อมไธรอยด์ตามมาได้ในอนาคต
ยาคลายเครียดบางตัว ทำให้เบื่ออาหาร จึงมีการนำมาใช้ในการลดน้ำหนักอย่างแพร่หลายเช่นกัน
ยาลดการดูดซึมไขมันจากทางเดินอาหาร เป็นยากลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์ โดยการยับยั้งเอนไซม์ในทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายไม่ดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย ยาตัวนี้ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ แต่หากใช้ไปนาน ๆ อาจทำให้ร่างกายขาดไขมันที่จำเป็นได้ บางคนอาจมีอาการถ่ายเหลวเป็นไขมันที่ไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย บางรายอาจมีอาการอุจจาระเล็ดออกมาเนื่องจากไขมันที่ไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็เป็นได้
นอกจากนี้ยังมีพวกอาหารเสริม วิตามินต่าง ๆ ที่ชวนให้เชื่อว่าได้ผลในการลดความอ้วน
น้ำหนักตัวนิ่งไม่ยอมลง
ช่วงแรกของการลดน้ำหนักบางคนอาจเห็นตัวเลขไต่ลงไปเรื่อย ๆ แต่พอได้ซักระยะหนึ่งน้ำหนักตัวเริ่มนิ่ง ไม่ยอมลงอีก ลองมาสังเกตพฤติกรรมการกินดูนะคะว่า เราเริ่มกินของจุบจิบมากขึ้น หรือว่ากินผลไม้ที่มีส่วนผสมของแป้งเยอะหรือกินผลไม้รสหวานมากเกินไปรึเปล่า ลองลดปริมาณของกินเหล่านั้นดูนะคะ
โยโย่หลังลดความอ้วน
การลดความอ้วนด้วยการกินยาลดความอ้วน อดอาหาร หรือคุมอาหาร โดยที่ไม่ได้ออกกำลังกาย จะทำให้ร่างกายปรับตัว โดยการดึงเอาไขมันและกล้ามเนื้อ ในร่างกายมาสลายเป็นพลังงาน ผลคือ น้ำหนักตัวลดลงสมใจ แต่หารู้ไม่ว่าการใช้วิธีการแบบนั้น จะทำให้สิ่งที่จำเป็นสำหรับการป้องกันอาการโยโย่หายไปด้วย
กล้ามเนื้อในร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการโยโย่ หลังจากที่เราควบคุมความอ้วนให้น้ำหนักตัวลดลงจนพอใจแล้ว พวกเรามักหันกลับไปกินอาหารแบบเดิม ๆ ที่อุดมไปด้วย ข้าว ไขมัน และน้ำตาล แบบที่เคยกินมาตลอด แถมไม่ออกกำลังกายอีกด้วย
สิ่งสำคัญในการป้องกันโยโย่
คือ ต้องออกกำลังกายให้พอเหมาะ ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ เพราะในการลดความอ้วนช่วงแรก การออกกำลังกายจะช่วยป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อที่มีค่ายิ่ง ถูกสลายไปพร้อม ๆ กับไขมัน ในช่วงสุดท้ายของการลดน้ำหนัก กล้ามเนื้อจะเป็นตัวคอยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินไม่ให้กลายเป็นไขมัน มาพอกที่ร่างกายของเรา ทำให้เกิดอาการโยโย่จนน้ำหนักตัวย้อนกลับมาเพิ่มขึ้นหนักกว่าเก่าอีก หลังจากหยุดลดความอ้วน ไม่ว่าคุณเคยลดความอ้วนด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม
สูตรในการลดความอ้วน
พลังงานที่ถูกเผาผลาญออกไป = พลังงานจากอาหารที่กิน-พลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน-พลังงานที่ใช้ไปในการออกกำลังกาย
พลังงานที่ถูกเผาผลาญออกไป ควรมีค่าเป็น ลบ ตลอด เพราะจะทำให้ร่างกายดึงเอาพลังงานส่วนเกินที่สะสมในร่างกายมาใช้ เช่น จากไขมัน ร่างกายของคุณก็จะผอมลง ความอ้วนลดลง น้ำหนักตัวก็ลดลง
การเร่งให้ร่างกายใช้พลังงานมากขึ้นด้วยการออกกำลังกายทุกวัน ถือเป็นกลยุทธ์ที่ใช้เสริมในการลดความอ้วนให้เห็นผลเร็วยิ่งขึ้น
เคล็ดลับสำคัญของการลดความอ้วนและควบคุมน้ำหนักตัว ไม่ให้อ้วนขึ้น คือ น้ำตาล แป้ง และข้าว
สิ่งเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญที่จะถูกย่อยในทางเดินอาหาร กลายเป็นน้ำตาล และถูกเผาผลาญเป็นพลังงานในร่างกาย ถ้าเรากินอาหารทั้งสามจำพวกนี้มากเกินไป สิ่งที่ตามมา ก็คือ มันจะกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย
การลดน้ำตาลในเลือด
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือการเป็นเบาหวาน หากเป็นนาน ๆ จะส่งผลเสียต่ออวัยวะในร่างกาย เช่น ไต ทำให้ไตเสื่อม กลายเป็นโรคไตวายเรื้อรังในระยะยาวได้ คนที่เป็นเบาหวาน จะมีระบบการจัดการน้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือดไม่ได้ดีเท่าที่ควร ทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อย
ความอ้วนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นเบาหวาน เพราะความอ้วนจะส่งผลให้ฮอร์โมนอินซูลินที่ผลิตจากตับอ่อนของเราไม่สามารถจัดการกับน้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือดได้ การลดความอ้วนในคนที่อ้วนและมีอาการของโรคเบาหวาน จะช่วยให้การทำงานของฮอร์โมนอินซูลินดีขึ้น อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจะมีความเสี่ยงต่อการเสื่อมน้อยลง เพราะถ้าน้ำตาลในกระแสเลือดสูง อวัยวะของร่างกายก็มีโอกาสเสื่อมได้มากขึ้น
คนไทยกินข้าวเจ้า และข้าวเหนียวเป็นหลัก ซึ่ง ข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวจะถูกย่อยในทางเดินอาหารได้ง่าย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว หากเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยการกิน โดยหันไปกินข้าวกล้อง หรือกินผักมากขึ้น จะทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น อวัยวะในร่างกายจะเสื่อมจากโรคเบาหวานช้าลงด้วย
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ประสบการณ์จากผู้เรียน
วันนี้ เอาตัวอย่างนักเรียนที่มีปัญหาสุขภาพ มาเล่าสู่กันฟังค่ะ
รายแรก เป็นคนที่มีปัญหา เรื่องโรค กระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน เป็นมานานหลายปี อาการของโรค คือ มักจะปวดท้องเป็นประจำ ปวดแบบเสียด มีแก๊สในท้องมาก ต้องกินขมิ้นชัน ตลอด
เมื่อมาเล่นใหม่ ๆ อาการปวดท้องจะยังคงอยู่ แต่จะเรอออกมาค่อนข้างมาก เพราะท่าโยคะ ประกอบด้วยท่าที่ ทำให้เกิดการนวดอวัยวะในช่องท้อง และการบิดตัว ซึ่งจะสามารถช่วยขับแก๊สในกระเพาะอาหารได้ แต่มีบางท่าที่ทำแล้วอาการปวดท้องจะมีมากขึ้น เช่น ท่าธนู เราก็อาจจะข้ามท่าพวกนี้ไปก่อนในช่วงแรก ผ่านไปซักระยะ ค่อยกลับมาลองทำใหม่ได้ เล่นไปได้ซักประมาณ 1 สัปดาห์ (สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง) อาการผิดปกติในร่างกายเริ่มดีขึ้น เริ่มลดการกินขมิ้นชัน ลดยากระเพาะอาหารได้ในที่สุด แต่ทั้งนี้ต้องดูแลตัวเองเรื่องอาหารร่วมด้วย
รายที่สอง เป็นพี่อยู่ในระยะวัยทอง อาการคือร้อนวูบวาบ จะมีอาการร้อน ออกเหงื่อตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ห้องแอร์หนาวแค่ไหน เหงื่อก็ยังออกตลอด และมีอาการซึมเศร้า
เมื่อเล่นโยคะใหม่ ๆ แค่รู้สึกเบากาย แต่เมื่อเล่นได้ อาทิตย์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลาแค่ 2 สัปดาห์ อาการร้อนวูบวาบ ก็เริ่มดีขึ้น คือยังไม่หายขาด แต่นาน ๆ จะเป็นซักที อาการซึมเศร้าก็หายไป กลายเป็นคนที่มีอารมณ์ปกติ อาการปวดเข่าก็ทุเลาลงตามลำดับ แถมใส่เสื้อผ้าสมัยยังสาว ๆ ได้อีกด้วย ตอนนี้เลยกลายเป็นนักเรียนประจำ มีวินัยในตัวเอง มาเล่นสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
รายที่สาม เป็นคุณหมอฟัน ทำงานหนักทั้งที่โรงพยาบาลและที่คลีนิค ด้วยลักษณะท่าทางที่ต้องก้มตลอดเวลา ใช้มือและแขนข้างขวา ท่าเดิมซ้ำๆ ทั้งวัน จึงมีปัญหาเรื่องปวดเอว และมีอาการบาดเจ็บที่ไหล่และแขนขวา ยกแขนไม่ขึ้น
เมื่อเริ่มเล่นโยคะใหม่ ๆ อาการปวดยังคงอยู่แต่รู้สึกได้ว่าความตึงเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณเอว เริ่มลดลง อาการแขนยกไม่ขึ้นเริ่มทุเลา สามารถยกแขนได้สูงมากขึ้น และพัฒนาขึ้นตามลำดับ จนสามารถยกแขนตึงแนบใบหูได้ในที่สุด นับจากวันเริ่มเล่นจนถึงวันนี้ เป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้วที่คุณหมอเลือกวิถีแห่งโยคะในการดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเอง .....
รายที่สี่ มาด้วยเรื่องของน้ำหนักเกิน เกือบ ๆ 80 กิโลกรัม มีอาการปวดเข่า กับอาการฝ่าเท้าร้อนร่วมด้วย แถมนอนหลับไม่สนิท กว่าจะหลับต้องใช้เวลานาน
เนื่องจากเป็นคนค่อนข้างตัวแข็ง ทำท่าอะไรเลยรู้สึกว่ายากทุก ๆ ท่า (ถ้าเป็นคนตัวอ่อนจะไม่รู้สึกว่าแต่ละท่ายากมาก)
งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้เจ้าตัว เพราะความไม่ยอมแพ้ และตั้งใจจริง อาการทางกายอื่น ๆ ที่กล่าวมา คือ ปวดเข่า ฝ่าเท้าร้อน นอนไม่หลับ เห็นผลภายในไม่ถึง 2 อาทิตย์ (เล่นอาทิตย์ละ 4 วัน) ส่วนสิ่งที่ต้องการเป็นอันดับแรกที่มาเล่นโยคะ คือน้ำหนัก ตอนนี้เล่นมาได้ ไม่ถึง 2 เดือน น้ำหนักลดลงไป เกือบ 3 กิโลกรัม
แต่ครูต้องบอกก่อนนะคะว่า เรื่องน้ำหนักตัว แต่ละคนอัตราการเผาผลาญไม่เท่ากัน และปริมาณหรือชนิดอาหารที่ชอบทานก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะเอาการลดของคนอื่นมาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ค่ะ ต้องลองด้วยตัวเองนะคะ แต่รับรองได้ว่า ตัวเราจะกระชับขึ้นแน่นอนค่ะ
รายที่ห้า อาชีพค้าขาย ต้องยืนขายของตั้งแต่ ตีหนึ่ง ถึงเจ็ดโมงเช้าทุกวัน จนมีอาการปวดหลัง หมอบอกว่าเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อาการค่อนข้างรุนแรง มีแนวโน้มว่าจะต้องผ่าตัด รักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ด้วยการทานยา และ กายภาพบำบัด ด้วยการ ดึงหลัง ดึงคอ อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 1 เดือน ต่อมา เหลือ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง และอาทิตย์ละครั้งตามลำดับ แต่อาการเจ็บและตึง ยังคงมีอยู่
รักษาอย่างต่อเนื่อง ได้ 3 เดือน คุณหมอแนะนำให้ออกกำลังกายแบบโยคะ
เมื่อเริ่มเล่น ครูต้องคอยระวังอย่างใกล้ชิด สำหรับบางท่าที่ต้องใช้กำลังกล้ามเนื้อหน้าท้อง และกล้ามเนื้อหลัง ต้องไม่หักโหมจนเกินไป โดยผู้ฝึกต้องคอยระวังไม่ให้เกินกำลังตัวเองด้วย
อาทิตย์แรก อาการปวดแถวบั้นเอว และอาการตึงค่อนข้างมีมากเช่นเดิม
เมื่อเล่นต่อเนื่องมาได้ประมาณ 1 เดือน อาการต่าง ๆ เริ่มทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้เล่นอย่างต่อเนื่องอาทิตย์ละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 4 เดือน อาการดีขึ้นมา สามารถยืนขายของต่อเนื่อง โดยไม่ต้องนั่งพักได้นาน ครั้งละหลายชั่วโมง และที่สำคัญคือ คุณหมอบอกว่า ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแล้ว
หวังว่าตัวอย่างเหล่านี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ คน
ได้ลองมาฝึกโยคะกันนะคะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)