วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หลักสูตรครูสมาธิ

เป็นเวลา 10 เดือนเต็ม ที่ทุกวันเสาร์ เที่ยง ถึง ห้าโมงเย็น ต้องเปลี่ยนสถานะตัวเองจากครูสอนโยคะ ไปเป็นนักเรียน ในหลักสูตรครูสมาธิ ของสถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขา 5 (สมาคมแต้จิ๋ว สงขลา – ตอนหลังย้ายไปเรียนที่วัดดอนรัก สงขลา) ซึ่งเป็นหลักสูตร ของ วัดธรรมมงคล กรุงเทพ เขียนหลักสูตรโดย พระอาจารย์หลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินฺธโร


อ่านถึงตอนนี้ หลายคนคงเริ่มสงสัย สมาธิต้องไปเรียนกันด้วยเหรอ (มีเพื่อนหลายคนเคยถามแบบนี้ค่ะ) เห็นใคร ๆ เค้านั่งกันไม่ต้องเรียนซักหน่อย


ตอบค่ะ ว่ามีค่ะ ที่นี่เค้าเขียนเป็นตำรากันเลยทีเดียว แบ่งเป็น 3 เล่ม รวมเวลาหลักสูตร 1 ปี ค่ะ เวลานานแบบนี้ ถือเป็นการคัดกรองผู้เรียนไปในตัวค่ะ ใครขาดความมุ่งมั่นและศรัทธา ก็อยู่กันไม่ครบค่ะ อันนี้ก็ไม่ว่ากัน


เดิมทีเดียว มีพี่กัลยาณมิตร ที่รู้จักกัน เจอกันทีไรจะเล่าให้ฟังว่าไปเรียนหลักสูตรครูสมาธิ และมักจะจบด้วยประโยคว่า “อยากให้น้องจอยไปเรียน” ตอนนั้นก็ได้แต่ฟังค่ะแต่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากมีชั่วโมงสอนโยคะ บ่ายวันเสาร์


แต่มาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จำนวนนักเรียนตอนบ่ายวันเสาร์น้อยมาก ถึงไม่มีเลยในบางสัปดาห์ เลยตัดสินใจยกเลิกชั่วโมงสอนบ่ายวันเสาร์ แล้วไปสมัครเรียนสมาธิ ซึ่งตอนนั้นเค้าเรียนกันล่วงหน้าไป 2 เดือนแล้วค่ะ แต่อาจารย์ท่านก็มีเมตตารับให้เข้าเรียนค่ะ เรียนไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก รวบรวมความคิดของตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไปค่ะ ได้มากได้น้อย ไม่เป็นไร แต่เราได้ปฏิบัติ (ข้อนี้สำคัญมาก) คือ ทั้งตอนที่ไปเรียนทุกวันเสาร์ และกลับมาทำการบ้านส่งอาจารย์


สงสัยกันล่ะสิ ว่ามีการบ้านด้วยเหรอ ??


การบ้าน คือ การเดินจงกรม และนั่งสมาธิ ค่ะ ทำให้ได้ วันละ 30 นาที แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการนั่งสมาธิเสียมากกว่า ไม่ค่อยได้เดินจงกรมเลย อาศัยเดินวันที่ไปเรียนอย่างเดียว


ทีนี้มาดูนะคะว่า เค้าเรียนอะไรกันบ้าง???


ภาคทฤษฎี และปฏิบัติ (เดินจงกรม, นั่งสมาธิ)


ภาคทฤษฎี


หลักสูตรครูสมาธิ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้นำวิชาสมาธิ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง และสามารถนำไปสอนผู้อื่นได้ เลยเรียกหลักสูตรว่า ครูสมาธิ


ในหลักสูตรมีตำรา 3 เล่ม ที่หลวงพ่อวิริยังค์ เขียนขึ้นมา โดยไม่ขายให้บุคคลทั่วไป จะขายให้เฉพาะนักเรียนสมาธิเท่านั้น เพราะท่านไม่ประสงค์ให้อ่านเองโดยไม่มีอาจารย์อธิบาย เพราะอาจตีความผิดได้
เนื้อหาในตำรา ประกอบไปด้วย เรื่องของ สมาธิ ฌาน ญาณ และวิปัสสนา


เมื่อมาถึงตอนนี้ ก็ขอถ่ายทอดสิ่งดี ๆ ที่พอจะสรุปใจความได้คร่าว ๆ ให้ฟังนะคะ (ขอพูดเฉพาะเรื่องสมาธิอย่างเดียวค่ะ)


สมาธิ คือ การมีจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เพื่อผลิตพลังจิต


สามารถแบ่งสมาธิได้ 2 แบบ คือ สมาธิธรรมชาติ และสมาธิสร้างขึ้น


สมาธิธรรมชาติ เป็นสมาธิที่ทุกคนมีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น สมาธิที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ในการทำงาน การเรียน ซึ่งเราเรียกได้ว่า เป็นสมาธิตื้น คือ เราสามารถควบคุมจิตได้ ส่วนการพักผ่อนนอนหลับก็ถือเป็นสมาธิธรรมชาติด้วยเหมือนกัน แต่เป็นสมาธิลึก เพราะเราควบคุมจิตไม่ได้


ส่วนสมาธิสร้างขึ้น คือ การทำสมาธิที่นอกเหนือจากสมาธิธรรมชาติที่เรามีอยู่ เช่นการนั่งสมาธิ การเดินจงกรม


จุดประสงค์ ในการทำสมาธิสร้างขึ้น เพื่อสะสมพลังจิต แล้วสะสมไปเพื่ออะไร??


เมื่อเราเริ่มต้นฝึกสมาธิ ถือเป็นการกำจัดอารมณ์ต่าง ๆ เนื่องจากความสุข ความทุกข์ ของจิตปกตินั้น ยึดติดอยู่กับอารมณ์ต่าง ๆ เช่น อารมณ์โกรธ อารมณ์เกลียด อารมณ์รัก อารมณ์น้อยใน อารมณ์เสียใจ ฯลฯ แต่การทำสมาธิกลับกัน คือ ให้เอาจิตที่ปราศจากอารมณ์เป็นที่ยึดเหนี่ยว


เมื่อทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง จิตจะเกิดการสะสมพลังจิต ทำให้จิตมีความเข้มแข็งมากขึ้น เมื่อจิตมีความเข้มแข็งมากขึ้น อารมณ์ที่เข้ามากระทบจิตหรือใจ ก็จะอ่อนกำลังลง ทำอะไรกับจิตเราได้ แต่เบาบางลง เราก็ไม่ทุกข์มาก ไม่เครียดมาก หรือความทุกข์ ความเครียดจะอยู่กับเราไม่นาน (เปรียบเหมือนคนที่ออกกำลังกาย เมื่อออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ร่างกายก็ย่อมมีความแข็งแรงและมีความต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาสู่ร่างกาย อาจจะป่วยแต่ไม่มาก ฟื้นตัวเร็ว หรืออาจจะไม่ป่วยเลย)


และเมื่อสมาธิมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น จะสามารถยับยั้งจิตที่ฟุ้งซ่าน, สามารถแก้ความเครียด ความกังวลได้, ทำให้นอนหลับสบาย, และเป็นการเสริมให้การปฎิบัติการงาน การเรียน การใช้ชีวิตประจำวันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีความรอบคอบในการทำงานมากขึ้น มีสติมากขึ้น และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น


ส่วนผลที่เกิดขึ้นภายในใจ คือ ทำให้เกิดความเยือกเย็น ความสบาย ความผ่องใส ความชุ่มเย็น ความสงบและความสุขภายใจ ที่ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง


ทางสถาบันมีสโลแกน ว่า : สมาธิ ต้องทำทุกวัน อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ


(ซึ่งครูขอยืนยันว่า ถ้าทำได้อย่างต่อเนื่องจริง รับประกันว่า เราจะไม่วิ่งหาความสุขจากปัจจัยภายนอก จากวัตถุ จากบุคคลอื่น เพราะความสุขได้เกิดขึ้นแล้วในใจของผู้ปฏิบัติอย่างแน่นอนค่ะ)


ส่วนเรื่องที่ลึกกว่านี้ คือ เรื่อง ฌาน ญาณ และวิปัสสนา ขอไม่กล่าวถึง เพราะถ้าถ่ายทอดได้ไม่ถูกต้องจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี สำหรับผู้ที่สนใจรู้หรืออยากศึกษาให้ลึกกว่านี้ แนะนำให้มาเรียนหลักสูตรครูสมาธินะคะ เป็นประโยชน์กับทุกคนจริง ๆ ค่ะ