วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

มึนหัว คลื่นไส้ เวลาฝึกโยคะ

บางคนเวียนศีรษะ และคลื่นไส้เวลาฝึกโยคะ จนกลัวที่จะฝึกต่อไป.....

อาการนี้ มัึกเกิดขึ้นกับผู้ฝึกใหม่ ที่ไม่เคยฝึกโยคะมาเลย ถึงแม้จะออกกำลังกายประเภทอื่นอยู่สม่ำเสมอก็ตาม
หรือ อาจเกิดกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความดัน โดยเฉพาะ ความดันต่ำ

การเวียนหัว ไม่ได้แปลว่า เราไม่แข็งแรง แต่อาจเกิดจาก การที่เราไม่ชินกับการไหลเวียนเลือด ที่่มากเท่าการฝึกโยคะมาก่อน 

เนื่องจากการฝึกโยคะ ประกอบด้วยท่าที่จะต้องมีการก้ม เงย เมื่อเราก้ม เลือดจะลงมาเลี้ยงที่หน้า ที่คอ ที่หัว เรามากกว่าปกติ ซึ่งร่างกายอาจจะไม่เคยชิน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เวียนศีรษะได้

หรือ การไม่คุ้นเคยกับการหายใจ ลึก ยาว จนทำให้เราเกร็งจนเกินไป ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวียนศีรษะได้

วิธีป้องก้นและแก้ไข คือ การเคลื่อนไหวช้า ๆ หายใจให้สบาย และไม่เกร็งกับการหายใจจนเกินไป อาจจะยังไม่ลึก ไม่ยาว ตามที่ครูบอกก็ได้้ เอาให้ตัวเองรู้สึกสบายก่อนดีที่สุด และให้ลืมตาในขณะที่ฝึก

ส่วนอาการคลื่นไส้ ส่วนหนึ่งเกิดจาก การที่อาหารที่เราทานไปก่อนหน้าที่จะมาฝึกโยคะ ยังย่อยไม่หมด จนทำให้เกิดอาการจุกเสียด หรือคลื่นไส้ หรือ บางคน อาจจะมีการอาเจียนออกมา

เราสามารถป้องกันได้ง่าย ๆ  ด้วยการ เว้นช่วงให้ท้้องว่างก่อนมาฝึกโยคะ ซัก 2 ชั่วโมง ก่อนฝึกค่ะ

อาการดังกล่าวข้างต้น อาจเกิดขึ้นกับบางคนเท่านั้น และอาการรุนแรงไม่เท่ากันกับทุกคน ให้สังเกตตัวเองในขณะที่ฝึก เพื่อเป็นการเรียนรู้ตัวเราเองด้วยในตัว และอาการนี้จะลดลงตามลำดับเมื่อฝึกอย่างต่อเนื่อง โดยประมาณไม่น่าจะเกิน 1 สัปดาห์ (แต่ใครที่ฝึกนานแล้วก็ยังมึนอยู่ จำเป็นต้องหาสาเหตุ ต้องหาคุณหมอแล้วล่ะค่ะ)


เป็นหวัด คัดจมูก...แต่ไม่อยากกินยา

หวัด  ใคร ๆ ก็เคยเป็น 
ทุกครั้งที่มีคนที่เรารัก เป็นหวัด คำถามยอดฮิต เพื่อแสดงความห่วงใย คือ 


ทานยาแล้วยัง?


ยาแก้หวัดคงหนีไม่พ้น 


ยาลดไข้, ยาแก้อักเสบ, ยาลดน้ำมูก และ ยาแก้ไอ



ในความเป็นจริง เมื่อเราเป็นหวัด หมายถึงร่างกายกำลังมีสิ่งผิด

ปกติ หรือมีพิษ เกิดขึ้นในร่างกายของเรา และร่างกายพร้อมที่

จะใช้กลไกของร่างกายในการขับพิษเหล่านั้นออกมา ด้วยการมี

น้ำมูก การไอ การที่คอฝืดทานอะไรก็ไม่อร่อย

นี่คือ กลไก ที่ร่างกายกำลังทำงานเพื่อกำจัดพิษ 
แต่ สิ่งที่เราทำคือ แทนที่จะให้ร่างกายกำจัดพิษออกมา กลับไปทานยาเพื่อหยุดการขับพิษ นั่นเท่ากับ เรากำลัง เก็บพิษให้สะสมในร่างกาย ผล คือ เมื่อเวลาผ่านไป เวลาเราเป็นหวัด เราจะต้องทานยาที่แรงขึ้น นานขึ้น ใช้เวลารักษานานมากขึ้น 

และนี่คือวิธีการดูแลตัวเอง ยามที่เราเป็นหวัด พร้อมกับอุปกรณ์


1. เมื่ีอเริ่มเจ็บคอ
             เกลือผง (ทุกบ้านต้องมี)

             น้ำอุ่น
             แก้วน้ำ
     เกลือ ประมาณ 1 ช้อนชา ผสม น้ำอุ่นประมาณ 1 แก้ว คนให้เข้ากัน ชิมให้ค่อนข้างเค็ม เอามากลั้วคอ 

วิธีกลั้วคือ แหงนหน้าแล้วให้น้ำอยู่แถวคอ กลั้วให้มีเสียงอยู่ในคอ แล้วบ้วนทิ้งแล้วทำซ้ำจนน้ำหมดแก้วนับเป็น 

กลั้วคอ 1 ครั้ง 


ทำแบบนี้ แทนการทานยาแก้อักเสบ ปกติ เราทานยาแก้อักเสบ วันละ 3-4 มื้อ เราก็กลั้ว 3-4 ครั้ง หรือมากกว่้าได้เลย รับรองทำแบบนี้ แค่ 2 วัน คอโล่งเลย แต่สามารถทำต่อไปได้

จนหายหวัดเลยค่ะ 

การกลั้วคอ ทำให้ไอน้อยลงด้วยค่ะ

2. เมื่อคัดจมูก น้ำมูกไหล  

     กาล้างจมูก (กาเนติ)

     เกลือผง (ทุกบ้านต้องมี)
     น้ำอุ่น
     แก้วน้ำ
     

วิธีทำ 
ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว กับเกลือ ประมาณ ครึ่ง  ช้อนชา 
ต้องบอกว่าส่วนผสมโดยประมาณค่ะ  ถ้าให้แน่ต้องชิม ค่ะ 
ถ้า       จืด       หรือ        เค็ม         เกินไป  จะแสบจมูกค่ะ 
ถ้า    เค็มพอดี      พอ    ปะแล่ม ๆ             จะไม่แสบจมูกค่ะ 

ถ้าอุ่นกำลังดี ก็จะสบายจมูก เช่นเดียวกันค่ะ 

พอเราเริ่มมีน้ำมูก ก็เริ่มล้างจมูกกันเลยค่ะ ทำทั้งสองข้างนะคะ 


เด็ก ๆ ก็สามารถทำได้ ค่ะ ลูกของเพื่อนอายุ 7 ขวบ 

สอนให้เค้าทำ ก็ไม่มีปัญหาอะไร


เวลาทำ ทำที่อ่างล้างหน้าเลยค่ะ ต้องยืนเท้าแยกห่างพอสมควร โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เจ้ากาล้างจมูก ตรงปลาย มัีนจะใส่เขัาไปในจมูกได้พอดี ตะแคงหน้าเล็กน้อย 

อ้าปาก หายใจ ทางปากนะคะ 


น้ำจะเข้าทางจมูกข้างนึง และไปออกอีกข้างนึง แต่ถ้าเราคัดจมูก อาจจะออกช้า หรือยังไม่ออกในครั้งแรกที่ทำ 

ให้เปลี่ยนข้าง แล้วค่อยกลับมาทำใหม่ค่ะ 


ไม่ว่าจะคัดจมูกกี่ข้าง เราก็ต้องทำทั้งสองข้างเสมอนะคะ 


วิธีนี้ ยังเหมาะมา่กสำหรับคนเป็นไซนัสอีกด้วยนะคะ  


3. ไอ

น้ำผึ้ง มะนาว เกลือ น้ำอุ่น ผสมกัน  จิบ เรื่อย ๆ ค่ะ 

รับรอง ช่วยได้ค่ะ 


แค่นี้ เราก็ไม่ต้องทานยา เวลาเป็นหวัดกันแล้วนะคะ