ภทรโยคะ เปิดสอนโยคะสำหรับบุคคลทั่วไป
ผ่านการอบรมจากสุนีย์โยคะสถาน (กรุงเทพ)
สไตล์การสอนเป็นแบบ "หฐโยคะ" (หะฐะโยคะ)
หรืออาจเรียกว่า "โยคะแบบศิวะนันทะ" และผสม
ผสานกับโยคะแบบอนุสาระ
หฐโยคะ เป็นโยคะ ที่นุ่มนวล แต่ไม่ถึงกับเนิบช้า เน้นการใช้สติกำกับลมหายใจให้สอดคล้องกับอาสนะ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ กระดูกสันหลัง กระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายใน กระตุ้นการทำงานของต่อมไร้ท่อ บรรเทาอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย สร้างสมาธิ และความผ่อนคลาย ปรับสมดุลย์ต่างๆ โดยที่ไม่ให้ร่างกายเหนื่อยเกินไป
อนุสราโยคะ เป็นการต่อยอดจากหฐโยคะ ที่เน้นการจัดระเบียบร่างกาย การวางรากฐานร่างกายให้มั่นคง เพื่อให้แต่ละอาสนะที่ทำมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
อนุสราโยคะ เป็นการต่อยอดจากหฐโยคะ ที่เน้นการจัดระเบียบร่างกาย การวางรากฐานร่างกายให้มั่นคง เพื่อให้แต่ละอาสนะที่ทำมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
โยคะเหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย รวมถึงผู้ที่ห่วงใยสุขภาพ ต้องการสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ทนทานต่อความเจ็บป่วย หรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ต้องการฟื้นฟูอาการทางร่างกายทั้งภายในและภายนอกให้ดีขึ้น
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้โดยตรงที่
พัชรินทร์ ดวงภักดี (ครูจอย) : Kru Joy
Tel. 089-7326504
(กรุณาโทรนอกเวลาสอน)
(กรุณาโทรนอกเวลาสอน)
237/48 ซ.ลูกพ่อขุน ถ.กาญจนวนิช 69 (ใกล้ หมู่บ้านทองมณี ท่าสะอ้าน) ม.1 ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา
หัวใจของโยคะ คือ ความสมดุล
จุดมุ่งหมาย คือ สมาธิ
การฝึกท่าโยคะ เรียกว่า อาสนะ (Asanas) เป็นการฝึกท่าและค้างไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง ทำให้เลือดและสารอาหารไปเลี้ยงประสาทไขสันหลังเพิ่มมากขึ้น
การฝึกโยคะ จะทำให้การทำงานของต่อมต่าง ๆ รวมทั้งต่อมไร้ท่อ ทำงานดีขึ้น
ท่าของโยคะเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และมีการสอดคล้องกับการหายใจ เป็นการรวมกายและจิตร่วมกัน
การฝึกโยคะจะเป็นการฝึกประสาท ความยืดหยุ่น ความแข็งแรง การทรงตัว ลดความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้น ท่าที่ใช้สำหรับการฝึกโยคะมีมากมาย แต่จะแบ่งท่าการฝึก ดังนี้
1. ท่ายืน คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการยืน บางคนลงน้ำหนักส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้ามากเกินไปจนขาดความสมดุล หรือยืนแอ่นพุงไปข้างหน้ามากเกินไป หรือหลังโก่งทำให้เสียทรวดทรง
การฝึกโยคะในท่ายืนจะช่วยลดอาการปวดหลังและทำให้ทรวดทรงดีขึ้น บางท่าจะค่อนข้างง่าย แต่บางท่าจะค่อนข้างยาก ต้องใช้ทั้งความแข็งแรงและการทรงตัว ผู้ฝึกไม่จำเป็นต้องทำทุกท่า ในการฝึกแต่ละครั้งควรจะมีท่ายืน 3-5 ท่า เพื่อเป็นการเพิ่มความแข็งแรงและความสมดุลของร่างกาย รวมทั้ง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณขา เข่า ข้อเท้า แข็งแรงขึ้น
2. ท่านั่ง การฝึกท่านั่งมีด้วยกันหลายท่า มีตั้งแต่ง่ายจนยาก ครอบคลุมประโยชน์หลายด้านแล้วแต่ท่าที่ฝึก เช่น ยืดเส้นใต้ขา ยืดเอว ยืดหลัง ยืดแขนและไหล่ ยืดข้อเข่า ข้อเท้า ฯลฯ ในกรณีที่ฝึกเอง ท่านไม่จำเป็นต้องทำทุกท่า ควรจะเลือกท่าที่เหมาะสมกับตัวเองเท่านั้น
3. ท่านอนหงาย ท่านอนหงายเป็นท่าที่ทำได้ไม่ยาก การฝึกจะทำให้ได้ผลดีต่อร่างกาย กระตุ้นอวัยวะในช่องท้อง ลดอาการปวดประจำเดือน ลดอาการปวดหลัง ทำให้หลัง รวมถึงหน้าท้อง แข็งแรง และบางท่าช่วยลดต้นขา ทำให้ขากระชับด้วย
4. ท่านอนคว่ำ มีประโยชน์ในการทำให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง เพิ่มความยืดหยุ่นให้หลัง ทั้งส่วนบน และส่วนล่าง แก้ปวดหลัง ช่วยกระชับต้นขา สะโพก และ เป็นการนวดท้อง ช่วยกระตุ้นให้อวัยวะภายในช่องท้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
5. ท่าบิดตัว มีทั้งแบบนอนหงาย และท่านั่ง มีประโยชน์ในการเพิ่มความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง มีผลดีกับผู้ที่เข้าข่ายกระดูกทับเส้นประสาท เพราะเป็นการจัดสมดุลให้กับกระดูกสันหลัง และเป็นการช่วยนวดอวัยวะในช่องท้อง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
6. ท่ากลับหัว การฝึกท่านี้จะทำให้เลือดไปเลี้ยงลำคอ ใบหน้าและศีรษะเพิ่มขึ้น ทำให้สมองผ่อนคลาย หัวใจทำงานเบาลง หน้าตาสดใส ส่งเสริมการทำงานของดวงตา การทำงานของหู มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็ต้องระวังในคนที่อ้วน ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน การฝึกท่าเหล่านี้อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ผู้ที่มีความดันสูงหรือต่ำ ผู้ที่เป็นต้อกระจกไม่ควรฝึกท่าเหล่านี้ (ไม่ควรฝึกเองค่ะ เพราะค่อนข้างอันตราย)
การทำท่าโยคะแต่ละท่า จึงเป็นการส่งผ่านความรู้สึกจากร่างกาย เชื่อมโยงถึงจิตใจ จนเกิดความสมดุลทั้งภายในและภายนอก
** งดอาหารหนัก 1-2 ชั่วโมง ก่อนทำโยคะ
** หายใจทางจมูก
** ไม่มีการแข่งขัน ไม่เปรียบเทียบ ทำตามกำลังของตน
** Listen to your body
** ไม่ฟุ้งซ่าน รักษาจิตอยู่ที่ลมหายใจ
** ขณะมีรอบเดือนห้ามทำท่ากลับหัว เช่น ท่ายืนด้วยไหล่ ท่ายืนด้วยศีรษะ ท่าคันไถ
** ท่าสุดท้าย คือ ท่าศพเสมอ**
ท่าศพเป็นการนอนหงายบนพื้น กางขาออกจากกันพอประมาณ มือวางห่างลำตัว หงายฝ่ามือ ปลายนิ้วมืองอเล็กน้อยตามธรรมชาติ ก่อนเริ่มต้น ขอให้จัดปรับร่างกายทุกส่วน รวมทั้งศีรษะให้สบายโดยตลอด
สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ประคองสติไว้กับร่างกายที่กำลังผ่อนคลาย
ผลก็คือ เราจะรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจ
ซึ่งถ้าอ้างอิงตำราโบราณเขาระบุประโยชน์ไว้ว่า
"ขจัดความเหนื่อยล้าของร่างกาย ฟื้นคืนจิตใจที่เบิกบาน แจ่มใส"
ข้อพึงสังเกตก็คือ ท่าศพไม่ใช่การนอนหลับอย่างที่บางคนเข้าใจ
เพราะการนอนหลับนั้นไม่มีสติ
ตรงกันข้ามกับศาสตร์โยคะที่อาศัย "สติ" เป็นเครื่องมือสำคัญ
โดยลักษณะ ท่าศพไม่ใช่ท่าที่จะดึงดูดให้ใครมาสนใจ ไม่มีความหวือหวา ยิ่งถ้าใครมองโยคะเป็นเรื่องของการออกแรงเยอะๆ ทำท่าแปลกๆ อาจจะดูแคลนท่าศพ ไม่ใส่ใจที่จะฝึกเอาด้วยซ้ำ แต่หากผู้ปฏิบัติมีความรู้เกี่ยวกับโยคะ ก็จะทราบว่า สภาวะสำคัญในโยคะคือความสมดุล (ไม่ใช่ความแข็งแรง) ดังนั้น ท่าศพที่เป็นท่าเพื่อการผ่อนคลาย จึงมีบทบาทสำคัญยิ่ง เพราะจะช่วยพาผู้ฝึกไปสู่ความสมดุลเป็นระยะ ๆ อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลาที่ฝึก
เมื่อเข้าใจหลักแห่งความสมดุล เราจึงตระหนักว่า ท่าศพ เป็นองค์ประกอบสำคัญ ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้น ผู้ฝึกก็จะทำท่าศพ ระหว่างฝึกท่าต่าง ๆ ผู้ฝึกก็สลับด้วยท่าศพ และยังทำท่าศพปิดท้ายสำทับอีกด้วย
อธิบายมาถึงตรงนี้ อยากให้ลองฝึกปฏิบัติดู ทำดังที่อธิบายข้างต้น สัก 3นาที (อย่าเผลอหลับนะคะ) เมื่อลุกขึ้นมา ลองสำรวจตนเองว่ารู้สึกอย่างไร เกิดความเปลี่ยนแปลงใดทั้งกายและใจของเรา
จากการทำท่าศพ สิ่งที่เราจะได้รับ คือ รู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ได้รับในทันทีอีกด้วย
สำหรับโยคะ การนอนหลับเป็นการผ่อนคลายที่ดี แต่ก็เป็นเพียงการผ่อนคลายทางกาย ที่ใจอาจจะไม่ได้ผ่อนคลาย (เช่น ฝันร้ายขณะหลับ) แต่การทำท่าศพ ที่ร่างกายผ่อนคลาย ขณะที่จิตตื่นและคอยรับรู้การผ่อนคลายของกาย จิตจะผ่อนคลายไปด้วย อันเป็นการผ่อนคลายที่มีประสิทธิภาพ มากกว่าการนอนหลับธรรมดาค่ะ
เห็นได้ว่า โยคะ เป็นศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นวิทยาศาสตร์มาก ๆ ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ทำเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น โยคะไม่ต้องการความหวือหวาพิสดาร ตรงกันข้าม โยคะ เป็นการทำอะไรที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ โดยประโยชน์ที่เราจะได้รับจากโยคะ ไม่ใช่จากความแปลกประหลาดของท่า แต่มาจากการทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ สม่ำเสมอจนเป็นวิถีชีวิตของเรานั่นเอง
เห็นประโยชน์เยอะขนาดนี้แล้ว หันมาฝึกโยคะกันทุกวันนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น