วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

สวัสดีปี 2563

นานแล้วที่ไม่ได้มาอัพเดทชีวิต หรือมีเรื่องเล่าใน blog ของตัวเอง เพราะใคร ๆ ก็ให้ความสนใจกับ facebook มากกว่า

วันนี้ขอย้อนวันวาน เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ชีวิตครูเริ่มเข้าสู่วิถีของโยคะ ( พ.ศ.2549) แบบจับพลัดจับผลูก็ว่าได้

วันนึงยืนแปรงฟัน แล้วแปรงสีฟันหล่นจากมือ เพราะมือไม่มีแรงจับด้ามแปรง ทำงานก็จับปากกาไม่ได้ แขนมันล้า จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็มีอาการล้าที่แขน อาศัยการนวดบ้าง การออกกำลังกาย (ว่ายน้ำ) ก็ไม่สามารถวาดแขนได้เหมือนเก่า

มีความเครียดเกิดขึ้นแน่นอน ตอนนั้นลาออกจากงานประจำ หวังว่าจะเรียนปริญญาโทต่อ แต่เรียนไม่ได้เพราะจับปากกาเขียนหนังสือไม่ได้ ....เครียดสิ.....

สิ่งแรกที่เริ่มทำคือ หัดเขียนหนังสือ และทำอะไร ๆ ด้วยมือซ้ายแทนมือขวา จนสามารถเขียนหนัังสือมือซ้ายได้ แต่ไม่ได้คล่องเท่ามือขวา  เลยต้องเก็บเรื่องเรียนต่อไปโดยปริยาย

ช่วงนั้นอินเตอร์เน็ท ยังเป็นแบบ 56k ต่อกับสายโทรศัพท์บ้าน นั่งหาข้อมูลเจอว่า การฝึกโยคะอาจช่วยได้ หา cd มาได้แผ่นนึง แล้วหัดตาม เหมือนจะดีขึ้นบ้าง

ค้นไปค้นมา เจอว่ามีสอนเป็นครูโยคะด้วย ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ต้องขึ้นกรุงเทพ ไปเรียนทั้งที เรียนเป็นครูไปเลยดีกว่า

ที่ "สุนีย์โยคะ" สมัยนั้น  ที่สอนเป็นครูโยคะไม่ได้หลากหลายสำนักเหมืือน พ.ศ.นี้ (2563)

อ.สุนีย์ในวัย 70 กว่าในตอนนั้น ผมสีดอกเลา ตัวตรง เสียงดังฟังชัด ศิษย์ของกูรูโยคะคนแรกของเมืองไทย คือ อ.ชด หัศบำเรอ ท่านเป็นคนที่เอาโยคะมาสอนในเมืองไทยคนแรก

ตอนแรกที่เรียน ต้องบอกว่าเริ่มจาก ศูนย์ กันเลย ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับโยคะเลย แต่ไปเรียน ทุกวัน ก่อนที่จะสอนคนอื่น สิ่งแรกคือต้องทำท่านั้นๆ ให้ได้ก่อน แล้วถึงจะเริ่มสอนได้ บรรยายได้ จัดท่า่ให้คนอื่นได้

ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิด หลังจากเริ่มฝึกได้แค่ 2 สัปดาห์ กางเกงตัวที่คับ สามารถใส่ได้อย่างสบาย รู้สึกตื่นเต้นกับผลที่ได้รับ  คือ  ก้นเราเล็กลง จากสะโพกดินระเบิด 39 นิ้ว ลดลงมา ตอนนี้พอดูดี

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลง คือ รอบของประจำเดือนที่มาเป๊ะ มากขึ้น ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิง ปัญหาวันนั้นของเดือน ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย

น้ำหนักตัวเริ่มลดลงเมื่อกลับมาเปิดสตูดิโอของตัวเอง ได้ประมาณ 6 เดือน  และน้ำหนักลงอย่างมากเมื่อลองกินอาหารแนวธรรมชาติ เน้นการทานผักผลไม้ ทานเนื้อสัตว์น้อยมาก  จากน้ำหนัก  52 ในตอนแรก เหลือ 44 จนรู้สึกว่า ผอมเกินพอดี จึงได้กลับมากินอาหารเป็นเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น

ถึงตอนนี้ 13 ปีผ่านมา กับวิถีแห่งโยคะ น้ำหนักตัวไม่ได้ต่างกับก่อนฝึกมากนัก ตอนนี้น้ำหนักอยู่ที่  50-52 กก. แต่ความกระชับของร่างกาย มีมากขึ้น เลยทำให้ดูตัวเล็ก หรือผอมกว่าน้ำหนักที่เท่ากันแต่ไม่ได้ออกกำลังกาย  ตามทฤษฏี การปั้นข้าวเหนียว คือ ในปริมาณของข้าวเหนียวที่ตักมาเท่ากัน  แบบที่ 1 ตักแล้วใส่จานเลย เราจะได้ข้าวเหนียวที่กระจายเต็มจาน ส่วนแบบที่ 2 ตักแล้วปั้นให้เป็นก้อนแน่น ๆ แน่นอนว่า อย่างหลังจะดูน้อยกว่า  เปรียบได้กับร่างกายเราที่  ไม่ออกกำลังกายจะได้ข้าวเหนียวแบบที่ 1 และร่างกายที่ออกกำลังกายก็จะได้รูปร่างที่ผ่านการปั้นมาแล้วเหมือนข้าวเหนียวแบบที่ 2

ใครอยากปั้นตัวเอง ก็หันมาออกกำลังกายกันค่ะ   รักอะไรทำสิ่งนั้นเลยค่ะ ไม่โยคะก็ไม่ว่ากัน

อยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจตัวเอง มาก ๆ ค่ะ

(กุมภาพันธ์ 63 ตอนที่กระแส โควิด 19 กำลังแพร่ระบาด)

วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

ตารางเรียน/ค่าเรียน/แผนที่

   ภทรโยคะ      เปิดสอนโยคะสำหรับบุคคลทั่วไป

ผ่านการอบรมจากสุนีย์โยคะสถาน (กรุงเทพ)

สไตล์การสอนเป็นแบบ "หฐโยคะ" (หะฐะโยคะ)

หรืออาจเรียกว่า "โยคะแบบศิวะนันทะ"   และผสม

ผสานกับโยคะแบบอนุสาระ 
  
หฐโยคะ เป็นโยคะ ที่นุ่มนวล แต่ไม่ถึงกับเนิบช้า เน้นการใช้สติกำกับลมหายใจให้สอดคล้องกับอาสนะ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ กระดูกสันหลัง กระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายใน กระตุ้นการทำงานของต่อมไร้ท่อ บรรเทาอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย สร้างสมาธิ และความผ่อนคลาย ปรับสมดุลย์ต่างๆ โดยที่ไม่ให้ร่างกายเหนื่อยเกินไป

อนุสราโยคะ เป็นการต่อยอดจากหฐโยคะ ที่เน้นการจัดระเบียบร่างกาย การวางรากฐานร่างกายให้มั่นคง เพื่อให้แต่ละอาสนะที่ทำมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น


โยคะเหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย รวมถึงผู้ที่ห่วงใยสุขภาพ  ต้องการสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ทนทานต่อความเจ็บป่วย หรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ต้องการฟื้นฟูอาการทางร่างกายทั้งภายในและภายนอกให้ดีขึ้น 

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้โดยตรงที่  

พัชรินทร์ ดวงภักดี (ครูจอย) : Kru Joy

Tel. 089-7326504

(กรุณาโทรนอกเวลาสอน)

       237/48 ซ.ลูกพ่อขุน  ถ.กาญจนวนิช 69 (ใกล้ หมู่บ้านทองมณี ท่าสะอ้าน) ม.1 ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา 



       












   หัวใจของโยคะ คือ ความสมดุล   

    จุดมุ่งหมาย คือ สมาธิ  


การฝึกท่าโยคะ เรียกว่า อาสนะ (Asanas) เป็นการฝึกท่าและค้างไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง ทำให้เลือดและสารอาหารไปเลี้ยงประสาทไขสันหลังเพิ่มมากขึ้น


การฝึกโยคะ จะทำให้การทำงานของต่อมต่าง ๆ รวมทั้งต่อมไร้ท่อ ทำงานดีขึ้น
ท่าของโยคะเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และมีการสอดคล้องกับการหายใจ เป็นการรวมกายและจิตร่วมกัน


การฝึกโยคะจะเป็นการฝึกประสาท ความยืดหยุ่น ความแข็งแรง การทรงตัว ลดความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้น ท่าที่ใช้สำหรับการฝึกโยคะมีมากมาย แต่จะแบ่งท่าการฝึก ดังนี้


1. ท่ายืน คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการยืน บางคนลงน้ำหนักส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้ามากเกินไปจนขาดความสมดุล หรือยืนแอ่นพุงไปข้างหน้ามากเกินไป หรือหลังโก่งทำให้เสียทรวดทรง
     การฝึกโยคะในท่ายืนจะช่วยลดอาการปวดหลังและทำให้ทรวดทรงดีขึ้น บางท่าจะค่อนข้างง่าย แต่บางท่าจะค่อนข้างยาก ต้องใช้ทั้งความแข็งแรงและการทรงตัว ผู้ฝึกไม่จำเป็นต้องทำทุกท่า ในการฝึกแต่ละครั้งควรจะมีท่ายืน 3-5 ท่า เพื่อเป็นการเพิ่มความแข็งแรงและความสมดุลของร่างกาย รวมทั้ง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณขา เข่า ข้อเท้า แข็งแรงขึ้น


2. ท่านั่ง การฝึกท่านั่งมีด้วยกันหลายท่า มีตั้งแต่ง่ายจนยาก ครอบคลุมประโยชน์หลายด้านแล้วแต่ท่าที่ฝึก เช่น ยืดเส้นใต้ขา ยืดเอว ยืดหลัง ยืดแขนและไหล่ ยืดข้อเข่า ข้อเท้า ฯลฯ ในกรณีที่ฝึกเอง ท่านไม่จำเป็นต้องทำทุกท่า ควรจะเลือกท่าที่เหมาะสมกับตัวเองเท่านั้น


3. ท่านอนหงาย ท่านอนหงายเป็นท่าที่ทำได้ไม่ยาก การฝึกจะทำให้ได้ผลดีต่อร่างกาย กระตุ้นอวัยวะในช่องท้อง ลดอาการปวดประจำเดือน ลดอาการปวดหลัง ทำให้หลัง รวมถึงหน้าท้อง แข็งแรง และบางท่าช่วยลดต้นขา ทำให้ขากระชับด้วย


4. ท่านอนคว่ำ มีประโยชน์ในการทำให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง เพิ่มความยืดหยุ่นให้หลัง ทั้งส่วนบน และส่วนล่าง แก้ปวดหลัง ช่วยกระชับต้นขา สะโพก และ เป็นการนวดท้อง ช่วยกระตุ้นให้อวัยวะภายในช่องท้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น 


5. ท่าบิดตัว มีทั้งแบบนอนหงาย และท่านั่ง มีประโยชน์ในการเพิ่มความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง มีผลดีกับผู้ที่เข้าข่ายกระดูกทับเส้นประสาท เพราะเป็นการจัดสมดุลให้กับกระดูกสันหลัง และเป็นการช่วยนวดอวัยวะในช่องท้อง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น


6. ท่ากลับหัว การฝึกท่านี้จะทำให้เลือดไปเลี้ยงลำคอ ใบหน้าและศีรษะเพิ่มขึ้น ทำให้สมองผ่อนคลาย หัวใจทำงานเบาลง หน้าตาสดใส ส่งเสริมการทำงานของดวงตา การทำงานของหู มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็ต้องระวังในคนที่อ้วน ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน การฝึกท่าเหล่านี้อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ผู้ที่มีความดันสูงหรือต่ำ ผู้ที่เป็นต้อกระจกไม่ควรฝึกท่าเหล่านี้ (ไม่ควรฝึกเองค่ะ เพราะค่อนข้างอันตราย)

**ให้ฝึกโยคะตามความรู้สึก เพื่อให้เกิดสมาธิในขณะฝึก ไม่แข่งขันไม่เปรียบเทียบกับผู้อื่น ฝึกเพื่อให้เกิดความผ่อนคลายและมีความสุข อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง รวมทั้งการควบคุมลมหายใจและการทำท่าที่ถูกต้อง 
การทำท่าโยคะแต่ละท่า จึงเป็นการส่งผ่านความรู้สึกจากร่างกาย เชื่อมโยงถึงจิตใจ จนเกิดความสมดุลทั้งภายในและภายนอก


** งดอาหารหนัก 1-2 ชั่วโมง ก่อนทำโยคะ
** หายใจทางจมูก
** ไม่มีการแข่งขัน ไม่เปรียบเทียบ ทำตามกำลังของตน
** Listen to your body
** ไม่ฟุ้งซ่าน รักษาจิตอยู่ที่ลมหายใจ
** ขณะมีรอบเดือนห้ามทำท่ากลับหัว เช่น ท่ายืนด้วยไหล่ ท่ายืนด้วยศีรษะ ท่าคันไถ


** ท่าสุดท้าย คือ ท่าศพเสมอ**


ท่าศพเป็นการนอนหงายบนพื้น กางขาออกจากกันพอประมาณ มือวางห่างลำตัว หงายฝ่ามือ ปลายนิ้วมืองอเล็กน้อยตามธรรมชาติ ก่อนเริ่มต้น ขอให้จัดปรับร่างกายทุกส่วน รวมทั้งศีรษะให้สบายโดยตลอด


สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ประคองสติไว้กับร่างกายที่กำลังผ่อนคลาย
ผลก็คือ เราจะรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจ


ซึ่งถ้าอ้างอิงตำราโบราณเขาระบุประโยชน์ไว้ว่า 


"ขจัดความเหนื่อยล้าของร่างกาย ฟื้นคืนจิตใจที่เบิกบาน แจ่มใส"


ข้อพึงสังเกตก็คือ ท่าศพไม่ใช่การนอนหลับอย่างที่บางคนเข้าใจ
เพราะการนอนหลับนั้นไม่มีสติ
ตรงกันข้ามกับศาสตร์โยคะที่อาศัย "สติ" เป็นเครื่องมือสำคัญ


โดยลักษณะ ท่าศพไม่ใช่ท่าที่จะดึงดูดให้ใครมาสนใจ ไม่มีความหวือหวา ยิ่งถ้าใครมองโยคะเป็นเรื่องของการออกแรงเยอะๆ ทำท่าแปลกๆ อาจจะดูแคลนท่าศพ ไม่ใส่ใจที่จะฝึกเอาด้วยซ้ำ แต่หากผู้ปฏิบัติมีความรู้เกี่ยวกับโยคะ ก็จะทราบว่า สภาวะสำคัญในโยคะคือความสมดุล (ไม่ใช่ความแข็งแรง) ดังนั้น ท่าศพที่เป็นท่าเพื่อการผ่อนคลาย จึงมีบทบาทสำคัญยิ่ง เพราะจะช่วยพาผู้ฝึกไปสู่ความสมดุลเป็นระยะ ๆ อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลาที่ฝึก


เมื่อเข้าใจหลักแห่งความสมดุล เราจึงตระหนักว่า ท่าศพ เป็นองค์ประกอบสำคัญ ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้น ผู้ฝึกก็จะทำท่าศพ ระหว่างฝึกท่าต่าง ๆ ผู้ฝึกก็สลับด้วยท่าศพ และยังทำท่าศพปิดท้ายสำทับอีกด้วย


อธิบายมาถึงตรงนี้  อยากให้ลองฝึกปฏิบัติดู ทำดังที่อธิบายข้างต้น สัก 3นาที (อย่าเผลอหลับนะคะ) เมื่อลุกขึ้นมา ลองสำรวจตนเองว่ารู้สึกอย่างไร เกิดความเปลี่ยนแปลงใดทั้งกายและใจของเรา


จากการทำท่าศพ สิ่งที่เราจะได้รับ คือ รู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ได้รับในทันทีอีกด้วย


สำหรับโยคะ การนอนหลับเป็นการผ่อนคลายที่ดี แต่ก็เป็นเพียงการผ่อนคลายทางกาย ที่ใจอาจจะไม่ได้ผ่อนคลาย (เช่น ฝันร้ายขณะหลับ) แต่การทำท่าศพ ที่ร่างกายผ่อนคลาย ขณะที่จิตตื่นและคอยรับรู้การผ่อนคลายของกาย จิตจะผ่อนคลายไปด้วย อันเป็นการผ่อนคลายที่มีประสิทธิภาพ มากกว่าการนอนหลับธรรมดาค่ะ


เห็นได้ว่า โยคะ เป็นศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นวิทยาศาสตร์มาก ๆ ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ทำเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น โยคะไม่ต้องการความหวือหวาพิสดาร ตรงกันข้าม โยคะ เป็นการทำอะไรที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ โดยประโยชน์ที่เราจะได้รับจากโยคะ ไม่ใช่จากความแปลกประหลาดของท่า แต่มาจากการทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ สม่ำเสมอจนเป็นวิถีชีวิตของเรานั่นเอง

เห็นประโยชน์เยอะขนาดนี้แล้ว หันมาฝึกโยคะกันทุกวันนะคะ







วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

มึนหัว คลื่นไส้ เวลาฝึกโยคะ

บางคนเวียนศีรษะ และคลื่นไส้เวลาฝึกโยคะ จนกลัวที่จะฝึกต่อไป.....

อาการนี้ มัึกเกิดขึ้นกับผู้ฝึกใหม่ ที่ไม่เคยฝึกโยคะมาเลย ถึงแม้จะออกกำลังกายประเภทอื่นอยู่สม่ำเสมอก็ตาม
หรือ อาจเกิดกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความดัน โดยเฉพาะ ความดันต่ำ

การเวียนหัว ไม่ได้แปลว่า เราไม่แข็งแรง แต่อาจเกิดจาก การที่เราไม่ชินกับการไหลเวียนเลือด ที่่มากเท่าการฝึกโยคะมาก่อน 

เนื่องจากการฝึกโยคะ ประกอบด้วยท่าที่จะต้องมีการก้ม เงย เมื่อเราก้ม เลือดจะลงมาเลี้ยงที่หน้า ที่คอ ที่หัว เรามากกว่าปกติ ซึ่งร่างกายอาจจะไม่เคยชิน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เวียนศีรษะได้

หรือ การไม่คุ้นเคยกับการหายใจ ลึก ยาว จนทำให้เราเกร็งจนเกินไป ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวียนศีรษะได้

วิธีป้องก้นและแก้ไข คือ การเคลื่อนไหวช้า ๆ หายใจให้สบาย และไม่เกร็งกับการหายใจจนเกินไป อาจจะยังไม่ลึก ไม่ยาว ตามที่ครูบอกก็ได้้ เอาให้ตัวเองรู้สึกสบายก่อนดีที่สุด และให้ลืมตาในขณะที่ฝึก

ส่วนอาการคลื่นไส้ ส่วนหนึ่งเกิดจาก การที่อาหารที่เราทานไปก่อนหน้าที่จะมาฝึกโยคะ ยังย่อยไม่หมด จนทำให้เกิดอาการจุกเสียด หรือคลื่นไส้ หรือ บางคน อาจจะมีการอาเจียนออกมา

เราสามารถป้องกันได้ง่าย ๆ  ด้วยการ เว้นช่วงให้ท้้องว่างก่อนมาฝึกโยคะ ซัก 2 ชั่วโมง ก่อนฝึกค่ะ

อาการดังกล่าวข้างต้น อาจเกิดขึ้นกับบางคนเท่านั้น และอาการรุนแรงไม่เท่ากันกับทุกคน ให้สังเกตตัวเองในขณะที่ฝึก เพื่อเป็นการเรียนรู้ตัวเราเองด้วยในตัว และอาการนี้จะลดลงตามลำดับเมื่อฝึกอย่างต่อเนื่อง โดยประมาณไม่น่าจะเกิน 1 สัปดาห์ (แต่ใครที่ฝึกนานแล้วก็ยังมึนอยู่ จำเป็นต้องหาสาเหตุ ต้องหาคุณหมอแล้วล่ะค่ะ)


เป็นหวัด คัดจมูก...แต่ไม่อยากกินยา

หวัด  ใคร ๆ ก็เคยเป็น 
ทุกครั้งที่มีคนที่เรารัก เป็นหวัด คำถามยอดฮิต เพื่อแสดงความห่วงใย คือ 


ทานยาแล้วยัง?


ยาแก้หวัดคงหนีไม่พ้น 


ยาลดไข้, ยาแก้อักเสบ, ยาลดน้ำมูก และ ยาแก้ไอ



ในความเป็นจริง เมื่อเราเป็นหวัด หมายถึงร่างกายกำลังมีสิ่งผิด

ปกติ หรือมีพิษ เกิดขึ้นในร่างกายของเรา และร่างกายพร้อมที่

จะใช้กลไกของร่างกายในการขับพิษเหล่านั้นออกมา ด้วยการมี

น้ำมูก การไอ การที่คอฝืดทานอะไรก็ไม่อร่อย

นี่คือ กลไก ที่ร่างกายกำลังทำงานเพื่อกำจัดพิษ 
แต่ สิ่งที่เราทำคือ แทนที่จะให้ร่างกายกำจัดพิษออกมา กลับไปทานยาเพื่อหยุดการขับพิษ นั่นเท่ากับ เรากำลัง เก็บพิษให้สะสมในร่างกาย ผล คือ เมื่อเวลาผ่านไป เวลาเราเป็นหวัด เราจะต้องทานยาที่แรงขึ้น นานขึ้น ใช้เวลารักษานานมากขึ้น 

และนี่คือวิธีการดูแลตัวเอง ยามที่เราเป็นหวัด พร้อมกับอุปกรณ์


1. เมื่ีอเริ่มเจ็บคอ
             เกลือผง (ทุกบ้านต้องมี)

             น้ำอุ่น
             แก้วน้ำ
     เกลือ ประมาณ 1 ช้อนชา ผสม น้ำอุ่นประมาณ 1 แก้ว คนให้เข้ากัน ชิมให้ค่อนข้างเค็ม เอามากลั้วคอ 

วิธีกลั้วคือ แหงนหน้าแล้วให้น้ำอยู่แถวคอ กลั้วให้มีเสียงอยู่ในคอ แล้วบ้วนทิ้งแล้วทำซ้ำจนน้ำหมดแก้วนับเป็น 

กลั้วคอ 1 ครั้ง 


ทำแบบนี้ แทนการทานยาแก้อักเสบ ปกติ เราทานยาแก้อักเสบ วันละ 3-4 มื้อ เราก็กลั้ว 3-4 ครั้ง หรือมากกว่้าได้เลย รับรองทำแบบนี้ แค่ 2 วัน คอโล่งเลย แต่สามารถทำต่อไปได้

จนหายหวัดเลยค่ะ 

การกลั้วคอ ทำให้ไอน้อยลงด้วยค่ะ

2. เมื่อคัดจมูก น้ำมูกไหล  

     กาล้างจมูก (กาเนติ)

     เกลือผง (ทุกบ้านต้องมี)
     น้ำอุ่น
     แก้วน้ำ
     

วิธีทำ 
ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว กับเกลือ ประมาณ ครึ่ง  ช้อนชา 
ต้องบอกว่าส่วนผสมโดยประมาณค่ะ  ถ้าให้แน่ต้องชิม ค่ะ 
ถ้า       จืด       หรือ        เค็ม         เกินไป  จะแสบจมูกค่ะ 
ถ้า    เค็มพอดี      พอ    ปะแล่ม ๆ             จะไม่แสบจมูกค่ะ 

ถ้าอุ่นกำลังดี ก็จะสบายจมูก เช่นเดียวกันค่ะ 

พอเราเริ่มมีน้ำมูก ก็เริ่มล้างจมูกกันเลยค่ะ ทำทั้งสองข้างนะคะ 


เด็ก ๆ ก็สามารถทำได้ ค่ะ ลูกของเพื่อนอายุ 7 ขวบ 

สอนให้เค้าทำ ก็ไม่มีปัญหาอะไร


เวลาทำ ทำที่อ่างล้างหน้าเลยค่ะ ต้องยืนเท้าแยกห่างพอสมควร โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เจ้ากาล้างจมูก ตรงปลาย มัีนจะใส่เขัาไปในจมูกได้พอดี ตะแคงหน้าเล็กน้อย 

อ้าปาก หายใจ ทางปากนะคะ 


น้ำจะเข้าทางจมูกข้างนึง และไปออกอีกข้างนึง แต่ถ้าเราคัดจมูก อาจจะออกช้า หรือยังไม่ออกในครั้งแรกที่ทำ 

ให้เปลี่ยนข้าง แล้วค่อยกลับมาทำใหม่ค่ะ 


ไม่ว่าจะคัดจมูกกี่ข้าง เราก็ต้องทำทั้งสองข้างเสมอนะคะ 


วิธีนี้ ยังเหมาะมา่กสำหรับคนเป็นไซนัสอีกด้วยนะคะ  


3. ไอ

น้ำผึ้ง มะนาว เกลือ น้ำอุ่น ผสมกัน  จิบ เรื่อย ๆ ค่ะ 

รับรอง ช่วยได้ค่ะ 


แค่นี้ เราก็ไม่ต้องทานยา เวลาเป็นหวัดกันแล้วนะคะ



วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

กล่องผักของแม่

วันนี้คุยกับเพื่อน เรื่องสุขภาพของแม่ ๆ ของพวกเรา แม่ของเพื่อนเป็นเบาหวาน ความดัน 
คอเรสเตอรอล กระดูกพรุนจนขาโก่ง กินยามานาน จนสุขภาพแย่ลงทุกวัน ตอนนี้ขาชา เลยไปหาหมอแผนไทย เป็นอาจารย์หมอที่ มอ คุณหมอ แนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิถีการกิน คือ ให้กิน ผัก และ ปลา เป็นหลัก  

ส่วนแม่ของครูในวัย ใกล้ 70 ความดันปกติ เบาหวานไม่มี ปวดเข่ามีบ้าง มีคอเรสเตอรอลสูงเล็กน้อย หน้าตาสดใส คุยกันว่า คงเป็นเพราะแม่กินผักนั่่นเอง 

ตั้งแต่จำความได้ ทุกมื้อที่กินข้าวกัน แม่จะมีกล่องผักประจำตัว มาวางเคียงกับมื้ออาหาร ผักประจำของแม่  คือ สะตอเบา มีทั้ง ยอด ฝ้ักอ่อน ฝักแก่ คือ หาแบบไหนได้ เอาหมด ถั่วฝักยาว มะเขือทุกชนิด และผักเหม็นของแม่ทั้งหลา่ย เช่น สะตอหนัก ชะอม ลูกเนียง

ตอนเป็นเด็ก ครูเป็นเด็กที่ไม่กินผักเลย มีความสามารถพิเศษในการเขี่ยผักออกจากจาน แถมแม่ช่วยเขี่ยอีกต่างหาก แม่จะเอาหมู เอาไก่ มาใส่จานครู แล้วเลือกเอาผักในจานครูไปกินเอง ตลอดเวลา 

ถามว่าทำไมครูไม่กินผัก  อันแรกเพราะใบผักมันลื่น ๆ ไม่ชอบความรู้สึกแหยะ ๆ ในปาก เหมือนกับที่ไม่กิน หมูมัน สามชั้น ไม่กินหนังไก่ หนังปลา และอะไรก็ตามที่ลื่น ๆ ปลาเนื้อมัน ๆ ก็ไม่กิน อาหารที่ชอบที่สุดคือ ของทอดแบบแห้งมาก ๆ 

อีกเหตุผลคือ มันเรียกว่าผัก เลยไม่กิน 

เริ่มมาหัดกินผัก ตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ตอนนั้น อยู่หอพัก ซึ่งมีเพื่อน ๆ ชาวอีสานเยอะมาก และทุกคนกินผักกันหน้าตาเฉย ในขณะที่ เรากินอะไรไม่ได้เลย เริ่มสงสัยว่า เฮ้ย! ทำไม เค้ากินผักกันเก่งจังเลย แอบอาย ๆ ที่เรากินไม่เป็น เลยเริ่มหัด เริ่มจาก กัดนิด ๆ แบบชิม รสชาติก่อน เฮ้ย! (อีกรอบ) มันก็ไม่มีรสอะไรนี่นา กินได้นี่นา (จำไม่ได้ว่าเป็นผักอะไร)  หลังจากนั้น เลยลองกิน ผักทุกชนิดที่เค้ากินกัน เริ่มกิน ผักได้มากชนิดขึ้น 

20 กว่าปีผ่านไป ตอนนี้ สิ่งแรกที่นึกถึงเวลาจะกินอาหารคือ ขอเมนูที่มีผัก และเริ่มเอากล่องผักของแม่มาไว้ข้างกายบ้างแล้ว (คงยังไม่สายจนเกินไป)
  
อีกอย่างที่คิดว่า แม่ได้จากผัก คือ 

แม่เป็นผู้หญิงที่ ไม่ใช้ครีมบำรุงผิวหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น  มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้แต่ตอนสาว ๆ ที่ตอนนั้นทำนากุ้ง ต้องตากแดดเที่ยง ๆ แรมปี ฝ้าไม่ได้ขึ้นหน้าแม่เลย หน้าตาสดใส แม่บอกทาแล้วหนักหน้า 

ทุกวันนี้สิ่งนึงที่ต้องทำเวลา ออกเดินทางไปต่างจังหวัด เราสองคนพี่น้อง จะคอยมองหาต้นสะตอข้างทาง แล้วก็เป็นผู้ช่วยเก็บสะตอให้แม่  แม่เคยถาม ว่าไม่อายเหรอ (กลัวลูกอาย) แต่พวกเรา พร้อมใจกันตอบเลยว่า "อายทำไม" สิ่งนี้เลยเป็นกิจกรรมประจำครอบครัวเราไปซะแล้ว

สำหรับใครที่ยังมีอคติกับผักอยู่ ขอให้เปิดใจนะคะ ลองกินดูก่อนอย่าเพิ่งปฎิเสธการกินผัก แล้วเราจะรู้ว่า ผัก ให้ประโยชน์กับร่างกายของเรามากมาย อย่างที่เราคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ 

  

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555




       เมื่อเดือน มิถุนายน ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเข้าคอร์ส NLP ของคุณฐิตินารถ ณ พัทลุง ตอนแรกที่ตัดสินใจไปเรียน นึกอะไรไม่ออกเลย ว่าเค้าจะสอนกันยังไง แล้วมันจะได้ผลจริงมั๊ย??

ขนาดว่าไปเรียนแล้ว วันแรกยัง งง  ๆ อยู่ว่า มันจะเอาไปใช้ได้จริง ๆ เหรอ??

     แต่วันนี้ (เดือนครึ่งหลังจากที่เรียน) รู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าตัวเองมีความสุขง่ายขึ้น (จริง ๆ เดิมก็ไม่ได้มีความทุกข์อะไร) ยิ้มง่ายขึ้น ดวงตาสดใส กลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง จากที่เวลาถ่ายรูป เริ่มบ่น ๆ กับเพื่อน ๆ กันแล้ว ว่าดวงตาเราไม่ใสเหมือนเด็ก ๆ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว     ตาแป๋ว!   เชียว

        หลายคนอาจจะพอเคยได้ยินเรื่อง NLP มาบ้าง แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จักศาสตร์นี้ ขอเล่าคร่าว ๆ ค่ะ

        NLP (Neuro Linquistic Programming )  คือ กระบวนการปลูกฝังความคิดใหม่ ด้วยการใช้ภาษาและการเคลื่อนไหวทางร่างกาย เพื่อสร้างรูปแบบการคิดใหม่ ที่ทรงพลัง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้านของชีวิต เหมือนการลบโปรแกรมตัวตนคนเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไป แล้วลงโปรแกรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมลงในสมอง
         
        ดูเป็นวิชาการไปหน่อยนะคะ เข้าใจยากจัง !!

     เอางี้ค่ะ เชื่อว่า คนส่วนใหญ่ เวลาคิดถึงตัวเอง มักจะคิดว่า 
@   พ่อ แม่ ไม่รัก
@   พ่อ แม่ ไม่เข้าใจเรา
@   แฟน, สามี, ภรรยา ไม่ค่อยสนใจ ไม่รักเรา
@   ลูกไม่ได้ดั่งใจ
@    เจ้านายไม่ได้เรื่อง
@    เพื่อนร่วมงานไม่ดี
@    ชั้นไม่เก่ง  
@    ไม่สวย
@   ไม่มีความสามารถหรือความสามารถไม่พอ 
      สำหรับหน้าที่การงานที่ดีกว่านี้ 
@  ไม่มั่นใจในตัวเอง (ทั้ง ๆ ที่ถ้าคนอื่นมอง 
     เรา เค้าจะเห็นเรา เก่ง สวย ดีเพอร์เฟ็ก)   
     แต่เราบอกตัวเองว่า ชั้นยังไม่เก่ง ไม่ดี อยู่
     นั่นแหละ......
@  ชีวิตไม่มีความสุข
@  เครียดกับทุกเรื่องได้ตลอดเวลา แม้ไม่ใช่
     เรื่องอะไรของเรา


        และอะไรที่  ขึ้นต้น ด้วยคำ ว่า ไม่    ฯลฯ 
     (คุณ กำลังเป็นคนนึงที่คิดแบบนั้นอยู่มั๊ยคะ???)

สิ่งที่เราคิดเหล่านี้แหละ เท่ากับเราสะกดจิตตัวเองกันมาแสนนาน สะกดจิตตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ยิ่งเราคิดแบบนั้นมากเท่าไหร่ นานวันเท่าไหร่ สิ่งที่เราคิดอยู่ในหัวทุกวัน ๆ มันจะฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเรา แล้วมันจะดึงดูดเอาพลังของจักรวาลที่ตอบสนองในสิ่งที่เราคิด มาให้เราได้เจอะเจอในชีวิตประจำวัน แล้วมันจะแสดงออกมา เป็นตัวตนที่เป็นเราอย่างทุกวันนี้

     ทีนี้เรามาดูว่า NLP มาทำอะไรกับสิ่งเหล่านี้ได้บ้าง.......

เนื่องจากเราสะกดจิตใส่ สิ่งที่เป็นลบเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเรามาเป็นเวลานาน อาจจะชั่วชีวิตของเรา ในชาตินี้ เผลอ ๆ ชาติก่อน ๆ ก็คิดแบบนี้มาแล้วเหมือนกัน
        วิธีแก้ คือ สะกดจิตตัวเองใหม่ ด้วย คำพูดที่ดี ที่บวก ที่ให้กำลังใจตัวเอง ที่ไม่ตัดสินคนอื่น มองให้ทุกอย่างหรือทุกปัญหาเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ คิดว่าเราสามารถจัดการกับทุกเรื่องได้ อย่างมั่นใจ มุ่งมั่น มีพลัง
        มีวิธี ฝึกให้เราเป็นคนคิดบวกขึ้น  คือ ตื่นเช้ามา หาสิ่งดี ๆ ให้เจอ ซัก 3 ข้อ ก่อนนอน ทบทวนสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นอีก  3 ข้อ (ซ้ำกันก็ไม่เป็นไร)

        เช่น

1. ตื่นเช้ามา ฝนตก    คิดว่า   ดีจังวันนี้ไม่ต้องรดน้ำต้นไม้
2. ระหว่างขับรถไปทำงานเจอไฟแดง คิดว่า เพลงกำลังเพราะพอดี ดีเหมือนกัน จะได้ฟังเพลงจบถึงที่ทำงานพอดี
3. เดินอยู่บนทางเท้า ได้กลิ่นดอกไม้โชยมา คิดว่า หอมจัง แถมยิ้มด้วย...........

ก่อนนอน..........

ทบทวนสิ่งที่เจอวันนี้     
  
1.    ดีจัง วันนี้เจ้านายไม่บ่นเท่าไหร่
2.    ข้าวเที่ยงอร่อยจัง
3.    วันนี้ผมเราสวยดี

คือ จริง ๆ จะบอกว่า อะไรก็ได้ คิดไปเถอะค่ะ สิ่ง ดี ๆ 3 ข้อเท่านั้น ทำให้เป็นกิจวัตร ประจำวันไปเลย 

เหมือน สโลแกน ว่า 

"วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง" 

มาเป็น 

"วันนี้คุณคิดบวกแล้วหรือยัง"

เค้าศึกษากันมาแล้วว่า แค่ 3 อาทิตย์ สมองของคุณจะแข็งแรงขึ้น คุณจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ว่าคุณมองโลก และใช้ชีวิต ได้มีความสุขขึ้น เป็นอย่างมาก

        แต่ถ้าต้องการโปรแกรมให้ยั่งยืน ขอเวลา 6 เดือนค่ะ มันจะเข้าไปฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณเลยทีเดียว.......

ที่ว่ามาทั้งหมด ซึ่งเป็นบางส่วนที่ NLP ทำได้ เป็นการทำกับตัวเอง แต่นอกจากทำให้ตัวเองได้แล้ว ยังสามารถบำบัดให้กับคนอื่นได้อีกด้วย โดยการใช้เทคนิคที่มากกว่าเขียนมาด้านบน ใครก็ตามที่มีปัญหา ชีวิตไม่มีความสุข บางทีไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่า ไม่รู้ไม่มีความสุขเพราะอะไร  NLP ช่วยได้ค่ะ

ตอนนี้ นักเรียนที่เรียนโยคะกับครู และกล้าที่จะให้ครูทดลองใช้ศาสตร์นี้ในการคลายปมปัญหา ที่คิดว่า หาทางแก้ไม่ได้ นอนไม่หลับ เครียดกับชีวิต กับการทำงาน อยากลดน้ำหนัก อยากมีความสุขในชีวิตมากขึ้น

ครูพอที่จะช่วยแก้ปัญหาให้เค้าได้มองปัญหาหรือหาสาเหตุ
และทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลายคน รู้สึกได้ว่าชีวิตมีความสุขง่ายขึ้น   ส่วนคนที่ยังไม่กล้าหรือไม่คิดว่าตัวเองมีปัญหา ทุกท้ายชั่วโมงของคลาสโยคะ ครูจะทำการผ่อนคลายแบบลึก บวกกับการใช้ศาสตร์ของ NLP เรียกว่า Trance โดยการใส่สิ่งดี ๆ เข้าไปในจิตใต้สำนึกให้ทุกวัน ๆ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุก ๆ คน จะมีความสุขได้ง่ายขึ้น.........ในทุก ๆ วันนับจากนี้ต่อไปค่ะ........ 

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หลักสูตรครูสมาธิ

เป็นเวลา 10 เดือนเต็ม ที่ทุกวันเสาร์ เที่ยง ถึง ห้าโมงเย็น ต้องเปลี่ยนสถานะตัวเองจากครูสอนโยคะ ไปเป็นนักเรียน ในหลักสูตรครูสมาธิ ของสถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขา 5 (สมาคมแต้จิ๋ว สงขลา – ตอนหลังย้ายไปเรียนที่วัดดอนรัก สงขลา) ซึ่งเป็นหลักสูตร ของ วัดธรรมมงคล กรุงเทพ เขียนหลักสูตรโดย พระอาจารย์หลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินฺธโร


อ่านถึงตอนนี้ หลายคนคงเริ่มสงสัย สมาธิต้องไปเรียนกันด้วยเหรอ (มีเพื่อนหลายคนเคยถามแบบนี้ค่ะ) เห็นใคร ๆ เค้านั่งกันไม่ต้องเรียนซักหน่อย


ตอบค่ะ ว่ามีค่ะ ที่นี่เค้าเขียนเป็นตำรากันเลยทีเดียว แบ่งเป็น 3 เล่ม รวมเวลาหลักสูตร 1 ปี ค่ะ เวลานานแบบนี้ ถือเป็นการคัดกรองผู้เรียนไปในตัวค่ะ ใครขาดความมุ่งมั่นและศรัทธา ก็อยู่กันไม่ครบค่ะ อันนี้ก็ไม่ว่ากัน


เดิมทีเดียว มีพี่กัลยาณมิตร ที่รู้จักกัน เจอกันทีไรจะเล่าให้ฟังว่าไปเรียนหลักสูตรครูสมาธิ และมักจะจบด้วยประโยคว่า “อยากให้น้องจอยไปเรียน” ตอนนั้นก็ได้แต่ฟังค่ะแต่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากมีชั่วโมงสอนโยคะ บ่ายวันเสาร์


แต่มาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จำนวนนักเรียนตอนบ่ายวันเสาร์น้อยมาก ถึงไม่มีเลยในบางสัปดาห์ เลยตัดสินใจยกเลิกชั่วโมงสอนบ่ายวันเสาร์ แล้วไปสมัครเรียนสมาธิ ซึ่งตอนนั้นเค้าเรียนกันล่วงหน้าไป 2 เดือนแล้วค่ะ แต่อาจารย์ท่านก็มีเมตตารับให้เข้าเรียนค่ะ เรียนไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก รวบรวมความคิดของตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไปค่ะ ได้มากได้น้อย ไม่เป็นไร แต่เราได้ปฏิบัติ (ข้อนี้สำคัญมาก) คือ ทั้งตอนที่ไปเรียนทุกวันเสาร์ และกลับมาทำการบ้านส่งอาจารย์


สงสัยกันล่ะสิ ว่ามีการบ้านด้วยเหรอ ??


การบ้าน คือ การเดินจงกรม และนั่งสมาธิ ค่ะ ทำให้ได้ วันละ 30 นาที แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการนั่งสมาธิเสียมากกว่า ไม่ค่อยได้เดินจงกรมเลย อาศัยเดินวันที่ไปเรียนอย่างเดียว


ทีนี้มาดูนะคะว่า เค้าเรียนอะไรกันบ้าง???


ภาคทฤษฎี และปฏิบัติ (เดินจงกรม, นั่งสมาธิ)


ภาคทฤษฎี


หลักสูตรครูสมาธิ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้นำวิชาสมาธิ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง และสามารถนำไปสอนผู้อื่นได้ เลยเรียกหลักสูตรว่า ครูสมาธิ


ในหลักสูตรมีตำรา 3 เล่ม ที่หลวงพ่อวิริยังค์ เขียนขึ้นมา โดยไม่ขายให้บุคคลทั่วไป จะขายให้เฉพาะนักเรียนสมาธิเท่านั้น เพราะท่านไม่ประสงค์ให้อ่านเองโดยไม่มีอาจารย์อธิบาย เพราะอาจตีความผิดได้
เนื้อหาในตำรา ประกอบไปด้วย เรื่องของ สมาธิ ฌาน ญาณ และวิปัสสนา


เมื่อมาถึงตอนนี้ ก็ขอถ่ายทอดสิ่งดี ๆ ที่พอจะสรุปใจความได้คร่าว ๆ ให้ฟังนะคะ (ขอพูดเฉพาะเรื่องสมาธิอย่างเดียวค่ะ)


สมาธิ คือ การมีจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เพื่อผลิตพลังจิต


สามารถแบ่งสมาธิได้ 2 แบบ คือ สมาธิธรรมชาติ และสมาธิสร้างขึ้น


สมาธิธรรมชาติ เป็นสมาธิที่ทุกคนมีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น สมาธิที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ในการทำงาน การเรียน ซึ่งเราเรียกได้ว่า เป็นสมาธิตื้น คือ เราสามารถควบคุมจิตได้ ส่วนการพักผ่อนนอนหลับก็ถือเป็นสมาธิธรรมชาติด้วยเหมือนกัน แต่เป็นสมาธิลึก เพราะเราควบคุมจิตไม่ได้


ส่วนสมาธิสร้างขึ้น คือ การทำสมาธิที่นอกเหนือจากสมาธิธรรมชาติที่เรามีอยู่ เช่นการนั่งสมาธิ การเดินจงกรม


จุดประสงค์ ในการทำสมาธิสร้างขึ้น เพื่อสะสมพลังจิต แล้วสะสมไปเพื่ออะไร??


เมื่อเราเริ่มต้นฝึกสมาธิ ถือเป็นการกำจัดอารมณ์ต่าง ๆ เนื่องจากความสุข ความทุกข์ ของจิตปกตินั้น ยึดติดอยู่กับอารมณ์ต่าง ๆ เช่น อารมณ์โกรธ อารมณ์เกลียด อารมณ์รัก อารมณ์น้อยใน อารมณ์เสียใจ ฯลฯ แต่การทำสมาธิกลับกัน คือ ให้เอาจิตที่ปราศจากอารมณ์เป็นที่ยึดเหนี่ยว


เมื่อทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง จิตจะเกิดการสะสมพลังจิต ทำให้จิตมีความเข้มแข็งมากขึ้น เมื่อจิตมีความเข้มแข็งมากขึ้น อารมณ์ที่เข้ามากระทบจิตหรือใจ ก็จะอ่อนกำลังลง ทำอะไรกับจิตเราได้ แต่เบาบางลง เราก็ไม่ทุกข์มาก ไม่เครียดมาก หรือความทุกข์ ความเครียดจะอยู่กับเราไม่นาน (เปรียบเหมือนคนที่ออกกำลังกาย เมื่อออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ร่างกายก็ย่อมมีความแข็งแรงและมีความต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาสู่ร่างกาย อาจจะป่วยแต่ไม่มาก ฟื้นตัวเร็ว หรืออาจจะไม่ป่วยเลย)


และเมื่อสมาธิมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น จะสามารถยับยั้งจิตที่ฟุ้งซ่าน, สามารถแก้ความเครียด ความกังวลได้, ทำให้นอนหลับสบาย, และเป็นการเสริมให้การปฎิบัติการงาน การเรียน การใช้ชีวิตประจำวันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีความรอบคอบในการทำงานมากขึ้น มีสติมากขึ้น และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น


ส่วนผลที่เกิดขึ้นภายในใจ คือ ทำให้เกิดความเยือกเย็น ความสบาย ความผ่องใส ความชุ่มเย็น ความสงบและความสุขภายใจ ที่ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง


ทางสถาบันมีสโลแกน ว่า : สมาธิ ต้องทำทุกวัน อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ


(ซึ่งครูขอยืนยันว่า ถ้าทำได้อย่างต่อเนื่องจริง รับประกันว่า เราจะไม่วิ่งหาความสุขจากปัจจัยภายนอก จากวัตถุ จากบุคคลอื่น เพราะความสุขได้เกิดขึ้นแล้วในใจของผู้ปฏิบัติอย่างแน่นอนค่ะ)


ส่วนเรื่องที่ลึกกว่านี้ คือ เรื่อง ฌาน ญาณ และวิปัสสนา ขอไม่กล่าวถึง เพราะถ้าถ่ายทอดได้ไม่ถูกต้องจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี สำหรับผู้ที่สนใจรู้หรืออยากศึกษาให้ลึกกว่านี้ แนะนำให้มาเรียนหลักสูตรครูสมาธินะคะ เป็นประโยชน์กับทุกคนจริง ๆ ค่ะ

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

รู้ก่อนลด (ความอ้วน)

การลดความอ้วน


การลดความอ้วนด้วยการกินยา หรือคุมอาหาร หรืออดอาหาร ทำให้ลดความอ้วนได้ก็จริง แต่จังหวะที่ร่างกายเอาไขมันไปสลายเป็นพลังงานนั้น มันไม่เพียงแต่สลายไขมันเพียงอย่างเดียว แต่ร่างกายจะสลายกล้ามเนื้อไปเป็นพลังงานด้วย ทำให้การลดความอ้วนนั้นเป็นการลดทั้งไขมันและกล้ามเนื้อของร่างกายไปพร้อม ๆ กัน


กล้ามเนื้อ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะในภาวะปกติกล้ามเนื้อจะเป็นตัวใช้พลังงานส่วนเกินของร่างกาย ทำให้พลังงานส่วนเกินไม่สะสมเป็นไขมัน


ทำอย่างไรเราจะลดความอ้วนโดยบังคับให้สลายเฉพาะไขมัน โดยที่ยังคงกล้ามเนื้อเอาไว้ได้ เพราะถ้าเราปล่อยให้กล้ามเนื้อถูกสลายไปด้วย เวลาที่ร่างกายของเราอ้วนกลับคืน ไขมันจะเข้าไปแทนที่ทั้งไขมันเดิมและกล้ามเนื้อที่หายไป


ความจริงอีกข้อหนึ่ง คือ ช่วงแรกของการลดความอ้วน ไขมันที่อยู่ในเซลล์ไขมันจะถูกนำไปใช้ แต่ตัวเซลล์ไขมันไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย ถ้าเราคุมน้ำหนักได้ไม่นานพอ แล้วกลับมาตามใจปากอีก เซลล์ไขมันที่รอจังหวะพองตัวสะสมไขมันก็กลับมาสะสมอีก ฉะนั้นเราคงต้องเข้าใจว่าการลดความอ้วนเป็นการแข่งมาราธอน ต้องใช้เวลาและความอดทน ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ลดไป ไม่ต้องรีบร้อน


การออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30-60 นาที เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายของเรายังคงอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนัก และในช่วงที่เราลดความอ้วนจนได้น้ำหนักตัวที่พอดีแล้ว กล้ามเนื้อของเราจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานส่วนเกินต่อไป และทำให้เราคุมความอ้วนไม่ให้กลับมาง่าย ๆ และอย่างลืมว่าเราต้องออกกำลังกายไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้กลับมาอ้วนอีก และยังช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย


เจาะลึกยาลดความอ้วนยาลดความอ้วน แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ได้แก่


ยาที่ทำให้ไม่หิว ส่วนใหญ่เป็นยาที่ควบคุมโดยคณะกรรมการอาหารและยา ต้องสั่งซื้อจากกองควบคุมวัตถุเสพติด คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ข้อดี คือ ทำให้ไม่หิว กินอาหารได้น้อยลง ร่างกายจึงต้องดึงเอาไขมันกับกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงาน ทำให้น้ำหนักลดลงได้ไว แต่มีปัญหาคือ ร่างกายดื้อยาได้ง่าย พอกินไปสักพักก็ต้องเพิ่มขนาดยาขึ้น ไม่อย่างนั้นน้ำหนักจะไม่ลด ที่สำคัญคือ ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 3 เดือน


ยาขับปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักตัวจะลดลง เพราะน้ำในร่างกายถูกขับออกมาเป็นปัสสาวะ แต่ความอ้วนไม่ได้ลดลงไปด้วย วิธีนี้ได้ผลในแง่จิตใจของคนไข้ว่า ชั่งน้ำหนักแล้วน้ำหนักตัวลดลง


ยาเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย จะไปเร่งเมตาบอลิซึ่มของร่างกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แต่คุณหมอบางท่านไม่แนะนำให้ใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้มีปัญหาเรื่องต่อมไธรอยด์ตามมาได้ในอนาคต


ยาคลายเครียดบางตัว ทำให้เบื่ออาหาร จึงมีการนำมาใช้ในการลดน้ำหนักอย่างแพร่หลายเช่นกัน


ยาลดการดูดซึมไขมันจากทางเดินอาหาร เป็นยากลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์ โดยการยับยั้งเอนไซม์ในทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายไม่ดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย ยาตัวนี้ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ แต่หากใช้ไปนาน ๆ อาจทำให้ร่างกายขาดไขมันที่จำเป็นได้ บางคนอาจมีอาการถ่ายเหลวเป็นไขมันที่ไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย บางรายอาจมีอาการอุจจาระเล็ดออกมาเนื่องจากไขมันที่ไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็เป็นได้


นอกจากนี้ยังมีพวกอาหารเสริม วิตามินต่าง ๆ ที่ชวนให้เชื่อว่าได้ผลในการลดความอ้วน


น้ำหนักตัวนิ่งไม่ยอมลง


ช่วงแรกของการลดน้ำหนักบางคนอาจเห็นตัวเลขไต่ลงไปเรื่อย ๆ แต่พอได้ซักระยะหนึ่งน้ำหนักตัวเริ่มนิ่ง ไม่ยอมลงอีก ลองมาสังเกตพฤติกรรมการกินดูนะคะว่า เราเริ่มกินของจุบจิบมากขึ้น หรือว่ากินผลไม้ที่มีส่วนผสมของแป้งเยอะหรือกินผลไม้รสหวานมากเกินไปรึเปล่า ลองลดปริมาณของกินเหล่านั้นดูนะคะ


โยโย่หลังลดความอ้วน


การลดความอ้วนด้วยการกินยาลดความอ้วน อดอาหาร หรือคุมอาหาร โดยที่ไม่ได้ออกกำลังกาย จะทำให้ร่างกายปรับตัว โดยการดึงเอาไขมันและกล้ามเนื้อ ในร่างกายมาสลายเป็นพลังงาน ผลคือ น้ำหนักตัวลดลงสมใจ แต่หารู้ไม่ว่าการใช้วิธีการแบบนั้น จะทำให้สิ่งที่จำเป็นสำหรับการป้องกันอาการโยโย่หายไปด้วย


กล้ามเนื้อในร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการโยโย่ หลังจากที่เราควบคุมความอ้วนให้น้ำหนักตัวลดลงจนพอใจแล้ว พวกเรามักหันกลับไปกินอาหารแบบเดิม ๆ ที่อุดมไปด้วย ข้าว ไขมัน และน้ำตาล แบบที่เคยกินมาตลอด แถมไม่ออกกำลังกายอีกด้วย


สิ่งสำคัญในการป้องกันโยโย่


คือ ต้องออกกำลังกายให้พอเหมาะ ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ เพราะในการลดความอ้วนช่วงแรก การออกกำลังกายจะช่วยป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อที่มีค่ายิ่ง ถูกสลายไปพร้อม ๆ กับไขมัน ในช่วงสุดท้ายของการลดน้ำหนัก กล้ามเนื้อจะเป็นตัวคอยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินไม่ให้กลายเป็นไขมัน มาพอกที่ร่างกายของเรา ทำให้เกิดอาการโยโย่จนน้ำหนักตัวย้อนกลับมาเพิ่มขึ้นหนักกว่าเก่าอีก หลังจากหยุดลดความอ้วน ไม่ว่าคุณเคยลดความอ้วนด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม


สูตรในการลดความอ้วน


พลังงานที่ถูกเผาผลาญออกไป = พลังงานจากอาหารที่กิน-พลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน-พลังงานที่ใช้ไปในการออกกำลังกาย


พลังงานที่ถูกเผาผลาญออกไป ควรมีค่าเป็น ลบ ตลอด เพราะจะทำให้ร่างกายดึงเอาพลังงานส่วนเกินที่สะสมในร่างกายมาใช้ เช่น จากไขมัน ร่างกายของคุณก็จะผอมลง ความอ้วนลดลง น้ำหนักตัวก็ลดลง


การเร่งให้ร่างกายใช้พลังงานมากขึ้นด้วยการออกกำลังกายทุกวัน ถือเป็นกลยุทธ์ที่ใช้เสริมในการลดความอ้วนให้เห็นผลเร็วยิ่งขึ้น


เคล็ดลับสำคัญของการลดความอ้วนและควบคุมน้ำหนักตัว ไม่ให้อ้วนขึ้น คือ น้ำตาล แป้ง และข้าว


สิ่งเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญที่จะถูกย่อยในทางเดินอาหาร กลายเป็นน้ำตาล และถูกเผาผลาญเป็นพลังงานในร่างกาย ถ้าเรากินอาหารทั้งสามจำพวกนี้มากเกินไป สิ่งที่ตามมา ก็คือ มันจะกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย


การลดน้ำตาลในเลือด


ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือการเป็นเบาหวาน หากเป็นนาน ๆ จะส่งผลเสียต่ออวัยวะในร่างกาย เช่น ไต ทำให้ไตเสื่อม กลายเป็นโรคไตวายเรื้อรังในระยะยาวได้ คนที่เป็นเบาหวาน จะมีระบบการจัดการน้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือดไม่ได้ดีเท่าที่ควร ทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อย


ความอ้วนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นเบาหวาน เพราะความอ้วนจะส่งผลให้ฮอร์โมนอินซูลินที่ผลิตจากตับอ่อนของเราไม่สามารถจัดการกับน้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือดได้ การลดความอ้วนในคนที่อ้วนและมีอาการของโรคเบาหวาน จะช่วยให้การทำงานของฮอร์โมนอินซูลินดีขึ้น อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจะมีความเสี่ยงต่อการเสื่อมน้อยลง เพราะถ้าน้ำตาลในกระแสเลือดสูง อวัยวะของร่างกายก็มีโอกาสเสื่อมได้มากขึ้น


คนไทยกินข้าวเจ้า และข้าวเหนียวเป็นหลัก ซึ่ง ข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวจะถูกย่อยในทางเดินอาหารได้ง่าย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว หากเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยการกิน โดยหันไปกินข้าวกล้อง หรือกินผักมากขึ้น จะทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น อวัยวะในร่างกายจะเสื่อมจากโรคเบาหวานช้าลงด้วย

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประสบการณ์จากผู้เรียน

วันนี้ เอาตัวอย่างนักเรียนที่มีปัญหาสุขภาพ มาเล่าสู่กันฟังค่ะ

รายแรก เป็นคนที่มีปัญหา เรื่องโรค กระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน เป็นมานานหลายปี อาการของโรค คือ มักจะปวดท้องเป็นประจำ ปวดแบบเสียด มีแก๊สในท้องมาก ต้องกินขมิ้นชัน ตลอด

เมื่อมาเล่นใหม่ ๆ อาการปวดท้องจะยังคงอยู่ แต่จะเรอออกมาค่อนข้างมาก เพราะท่าโยคะ ประกอบด้วยท่าที่ ทำให้เกิดการนวดอวัยวะในช่องท้อง และการบิดตัว ซึ่งจะสามารถช่วยขับแก๊สในกระเพาะอาหารได้ แต่มีบางท่าที่ทำแล้วอาการปวดท้องจะมีมากขึ้น เช่น ท่าธนู เราก็อาจจะข้ามท่าพวกนี้ไปก่อนในช่วงแรก ผ่านไปซักระยะ ค่อยกลับมาลองทำใหม่ได้ เล่นไปได้ซักประมาณ 1 สัปดาห์ (สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง) อาการผิดปกติในร่างกายเริ่มดีขึ้น เริ่มลดการกินขมิ้นชัน ลดยากระเพาะอาหารได้ในที่สุด แต่ทั้งนี้ต้องดูแลตัวเองเรื่องอาหารร่วมด้วย

รายที่สอง เป็นพี่อยู่ในระยะวัยทอง อาการคือร้อนวูบวาบ จะมีอาการร้อน ออกเหงื่อตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ห้องแอร์หนาวแค่ไหน เหงื่อก็ยังออกตลอด และมีอาการซึมเศร้า

เมื่อเล่นโยคะใหม่ ๆ แค่รู้สึกเบากาย แต่เมื่อเล่นได้ อาทิตย์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลาแค่ 2 สัปดาห์ อาการร้อนวูบวาบ ก็เริ่มดีขึ้น คือยังไม่หายขาด แต่นาน ๆ จะเป็นซักที อาการซึมเศร้าก็หายไป กลายเป็นคนที่มีอารมณ์ปกติ อาการปวดเข่าก็ทุเลาลงตามลำดับ แถมใส่เสื้อผ้าสมัยยังสาว ๆ ได้อีกด้วย ตอนนี้เลยกลายเป็นนักเรียนประจำ มีวินัยในตัวเอง มาเล่นสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

รายที่สาม เป็นคุณหมอฟัน ทำงานหนักทั้งที่โรงพยาบาลและที่คลีนิค ด้วยลักษณะท่าทางที่ต้องก้มตลอดเวลา ใช้มือและแขนข้างขวา ท่าเดิมซ้ำๆ ทั้งวัน จึงมีปัญหาเรื่องปวดเอว และมีอาการบาดเจ็บที่ไหล่และแขนขวา ยกแขนไม่ขึ้น

เมื่อเริ่มเล่นโยคะใหม่ ๆ อาการปวดยังคงอยู่แต่รู้สึกได้ว่าความตึงเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณเอว เริ่มลดลง อาการแขนยกไม่ขึ้นเริ่มทุเลา สามารถยกแขนได้สูงมากขึ้น และพัฒนาขึ้นตามลำดับ จนสามารถยกแขนตึงแนบใบหูได้ในที่สุด นับจากวันเริ่มเล่นจนถึงวันนี้ เป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้วที่คุณหมอเลือกวิถีแห่งโยคะในการดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเอง .....

รายที่สี่ มาด้วยเรื่องของน้ำหนักเกิน เกือบ ๆ 80 กิโลกรัม มีอาการปวดเข่า กับอาการฝ่าเท้าร้อนร่วมด้วย แถมนอนหลับไม่สนิท กว่าจะหลับต้องใช้เวลานาน
เนื่องจากเป็นคนค่อนข้างตัวแข็ง ทำท่าอะไรเลยรู้สึกว่ายากทุก ๆ ท่า (ถ้าเป็นคนตัวอ่อนจะไม่รู้สึกว่าแต่ละท่ายากมาก)

งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้เจ้าตัว เพราะความไม่ยอมแพ้ และตั้งใจจริง อาการทางกายอื่น ๆ ที่กล่าวมา คือ ปวดเข่า ฝ่าเท้าร้อน นอนไม่หลับ เห็นผลภายในไม่ถึง 2 อาทิตย์ (เล่นอาทิตย์ละ 4 วัน) ส่วนสิ่งที่ต้องการเป็นอันดับแรกที่มาเล่นโยคะ คือน้ำหนัก ตอนนี้เล่นมาได้ ไม่ถึง 2 เดือน น้ำหนักลดลงไป เกือบ 3 กิโลกรัม

แต่ครูต้องบอกก่อนนะคะว่า เรื่องน้ำหนักตัว แต่ละคนอัตราการเผาผลาญไม่เท่ากัน และปริมาณหรือชนิดอาหารที่ชอบทานก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะเอาการลดของคนอื่นมาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ค่ะ ต้องลองด้วยตัวเองนะคะ แต่รับรองได้ว่า ตัวเราจะกระชับขึ้นแน่นอนค่ะ

รายที่ห้า อาชีพค้าขาย ต้องยืนขายของตั้งแต่ ตีหนึ่ง ถึงเจ็ดโมงเช้าทุกวัน จนมีอาการปวดหลัง หมอบอกว่าเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อาการค่อนข้างรุนแรง มีแนวโน้มว่าจะต้องผ่าตัด รักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ด้วยการทานยา และ กายภาพบำบัด ด้วยการ ดึงหลัง ดึงคอ อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 1 เดือน ต่อมา เหลือ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง และอาทิตย์ละครั้งตามลำดับ แต่อาการเจ็บและตึง ยังคงมีอยู่

รักษาอย่างต่อเนื่อง ได้ 3 เดือน คุณหมอแนะนำให้ออกกำลังกายแบบโยคะ

เมื่อเริ่มเล่น ครูต้องคอยระวังอย่างใกล้ชิด สำหรับบางท่าที่ต้องใช้กำลังกล้ามเนื้อหน้าท้อง และกล้ามเนื้อหลัง ต้องไม่หักโหมจนเกินไป โดยผู้ฝึกต้องคอยระวังไม่ให้เกินกำลังตัวเองด้วย

อาทิตย์แรก อาการปวดแถวบั้นเอว และอาการตึงค่อนข้างมีมากเช่นเดิม  

 เมื่อเล่นต่อเนื่องมาได้ประมาณ 1 เดือน อาการต่าง ๆ เริ่มทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด

ตอนนี้เล่นอย่างต่อเนื่องอาทิตย์ละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 4 เดือน อาการดีขึ้นมา สามารถยืนขายของต่อเนื่อง โดยไม่ต้องนั่งพักได้นาน ครั้งละหลายชั่วโมง และที่สำคัญคือ คุณหมอบอกว่า ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแล้ว

         หวังว่าตัวอย่างเหล่านี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ คน

                              ได้ลองมาฝึกโยคะกันนะคะ




วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Before&After Pictures

สาว ๆ หลายคน มักถามครูด้วยคำถามที่ว่า เล่นโยคะ ลดความอ้วนได้มั๊ย?


                    ตอบแบบสั้น ๆ คือ "ได้แน่นอน" ค่ะ


แต่ โยคะ ให้ประโยชน์มากกว่าสิ่งที่คุณต้องการ เพราะในขณะที่ฝึกโยคะ เราต้องอยู่กับลมหายใจของตัวเองตลอดเวลา นั่นเท่ากับว่า เราได้ฝึกสมาธิ ที่เรียกว่า "อานาปานสติ" คือ การตามดูลมหายใจของตัวเอง และถือเป็นการฝึกสติค่ะ เมื่อไหร่ที่คุณรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก นั่นคือ คุณมีสติอยู่กับตัว แต่เมื่อไหร่ที่ปล่อยให้จิตใจล่องลอย ฟุ้งซ่าน โดยไม่รู้ตัว นั่นคือ สติเริ่มหายค่ะ


และตัว สติ นี้เองค่ะ ที่คุณจะนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน เมื่อคุณเล่นโยคะอย่างต่อเนื่องสักระยะนึง คุณหรือคนรอบตัวจะสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของคุณได้ค่ะ


เพราะฉะนั้น ครูไม่อยากให้ทุกคนที่ก้าวเดินมาในเส้นทางของโยคะ คิดเพียงแต่ว่า จะลดความอ้วนแค่อย่างเดียว ลองเปิดใจให้กว้าง รับรู้และสังเกตความเปลี่ยนแปลงในจิตใจตัวเองไปด้วยดีกว่านะคะ

         เอารูปมาให้ชมว่าก่อนเล่นโยคะ กับปัจจุบัน รูปร่างมีความแต่กต่างกันอย่างไรบ้าง

ปี 2548 ค่ะ ยังไม่ได้จริงจังกับการเล่นโยคะ

ปลายปี 2549 หลังจากเล่นโยคะ อาทิตย์ละ 6 วัน เป็นเวลา 6 เดือน


ปัจจุบันค่ะ พอจะเป็นนางแบบกะเค้าได้บ้างแล้วค่ะ





                             
                

                               
               

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

สูตรไม่ลับระงับกลิ่น (เต่า)


หลาย ๆ คนคงกำลังเผชิญปัญหาการมีกลิ่น (เต่า) กันอยู่นะคะ สูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับที่ไหน โรลออนยี่ห้ออะไร เค้าว่าดี ก็สรรหามาใช้กัน แต่คุณเต่าก็ยังส่งกลิ่นมารบกวนอยู่ดี

ครูมีเคล็ดไม่ลับ ทำแล้วรับรองเห็นผล มาแนะนำค่ะ

วันไหนเดินเข้า supermarket ลองแวะไปหยิบ โซเดียมไบคาร์บอเนต หรือบางคนเรียกผงฟู ค่ะที่ชั้นขายอุปกรณ์ทำ
เบเกอรี่ มาซักถุงนะคะ ราคา 11-13 บาท ข้างในเป็นผงสีขาว ได้มาแล้วมาดูวิธีใช้กันนะคะ

- ก่อนอาบน้ำ ตัก เจ้าผงฟู มาซัก 1 ช้อนชา พูน ๆ ค่ะ เอาน้ำหยดใส่ คลุกเคล้านิดหน่อยให้เป็นเนื้อเดียวกัน
- ทำใต้วงแขนให้เปียกนิดหน่อย แบ่งครีมที่ได้เป็น 2 ส่วน ทาไปที่รักแร้ให้ทั่ว ทั้งสองข้าง ระหว่างนี้ก็จัดการแปรงฟัน ล้างหน้า ไปพลาง ๆ เสร็จสรรพแล้ว ค่อยอาบน้ำ
- ก่อนจะล้างออก ก็ทำมือให้เปียกนิดหน่อย ทำการขัด เหมือน สครับ น่ะค่ะ วนเป็นวงกลม นับรอบการวนของเราไปซัก 50 รอบ ทีละข้าง ใช้เวลาข้างนึงไม่ถึง หนึ่งนาที เป็นอันเสร็จพิธี ล้างออกอาบน้ำได้ตามปกติค่ะ

ช่วงแรกทำทุกวันนะคะ รับรอง 1อาทิตย์ จะรู้สึกได้ว่ากลิ่นลดลง แต่ตอนกลางวันก็ยังต้องใช้ น้ำยาระงับกลิ่น เหมือนเดิมนะคะ เพียงแต่ว่า เราจะไม่มีกลิ่นตัวระหว่างวัน แต่มันไม่ได้หมดแล้วหมดเลยนะคะเจ้ากลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ว่าเนี่ย เลิกใช้ ก็มาใหม่ เพราะฉะนั้น ให้ทำไปเรื่อย ๆ อาจจะเว้นบ้าง ถ้าขี้เกียจ ทำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วค่ะ

หวังว่าจะได้ผลกันทุกคนนะคะ ไม่ลองไม่รู้ค่ะ....

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มาฝึกวิปัสสนากันเถอะค่ะ

มาฝึกวิปัสสนากันเถอะค่ะ



คนเราทุกคนล้วนต้องการความสุข ความสงบ ความเป็นมิตร เพราะสภาพชีวิตปัจจุบัน ขาดสิ่งเหล่านี้ ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความขุ่นมัว มีแต่ความฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ความขัดแย้งและความทุกข์ และเมื่อเรามีแต่ความขุ่นมัว เราจะไม่เก็บสิ่งเหล่านี้ไว้คนเดียว แต่จะแจกจ่ายความทุกข์เหล่านี้ให้ผู้อื่นที่อยู่รอบข้างด้วย บรรยากาศรอบตัวของคนที่มีความทุกข์จะเต็มไปด้วยความขัดเคือง และทุกคนที่สัมผัสกับเขาจะต้องเกิดความขุ่นมัวตามไปด้วย ความเป็นอยู่เช่นนี้ไม่ใช่การใช้ชีวิตที่ถูกต้องอย่างแน่นอน


เราควรจะอยู่อย่างมีสันติกับตัวเราเองและกับผู้อื่น ทั้งนี้เพราะคนเป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เหล่า ต้องเกี่ยวข้องกัน แล้วเราจะปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะมีสันติ ความสอดคล้องภายในตัวเรา ตลอดจนรักษาความสงบและกลมกลืนรอบ ๆ ตัวเรา เพื่อที่ผู้อื่นจะได้อยู่อย่างสงบและสอดคล้องเช่นเดียวกัน


เมื่อเราเกิดความขุ่นมัวเราจะทำให้มันหายไปได้อย่างไร ถ้าเราศึกษาปัญหาก็จะพบว่า เมื่อมีกิเลสเกิดขึ้นในใจ เราจะรู้สึกขัดเคือง กิเลสกับความสงบและความสอดคล้องไม่อาจจะอยู่ด้วยกันได้


แนวทางในการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง ก็คือ เราจะต้องทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตามต้องการ เราต้องเสริมสร้างอำนาจหรือขอให้ผู้ที่มีอำนาจช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่ต้องการ บันดาลให้เฉพาะแต่สิ่งที่ต้องการ ซึ่งนั่น ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ไม่มีใครในโลกที่จะสมหวังตามความต้องการทุกอย่าง สิ่งที่ไม่ปรารถนาย่อมเกิดขึ้นเสมอ ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะไม่ตอบโต้ ไม่สร้างความเครียด เมื่อสิ่งที่ไม่ปรารถนาเกิดขึ้น ทำอย่างไรจึงจะมีความสงบและความสมานฉันท์


ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดได้พบทางออกที่เห็นผลจริง ๆ ท่านผู้นั้นพบว่า เมื่อเกิดกิเลสขึ้นในจิต จะมีปรากฏการณ์ทางกาย เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน 2 อย่าง


อย่างแรก คือ ลมหายใจผิดปกติ เราจะหายใจแรง เมื่อมีกิเลสเกิดขึ้นในใจ ซึ่งลมหายใจเป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่าย

อย่างที่สอง เกิดขึ้นในระดับที่ละเอียดกว่า คือ จะมีปฏิกิริยาทางชีวเคมีบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งปรากฏออกมาเป็นความรู้สึก โดยกิเลสทุกอย่าง จะทำให้เกิดความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย


ซึ่งวิธีนี้สามารถปฏิบัติได้จริง คนทั่วไปไม่อาจจะสังเกตกิเลสซึ่งเป็นนามธรรม เช่น ความโกรธ ความกลัว ความใคร่ แต่สามารถสังเกตลมหายใจ หรือความรู้สึก หากได้ฝึกปฏิบัติอย่างถูกต้อง
ลมหายใจและความรู้สึกทางกายจะช่วยเราได้ 2 ทาง คือ คอยเตือนเราเหมือนเป็นเลขานุการส่วนตัว ทันทีที่กิเลสเกิดขึ้นในจิต ลมหายใจของเราจะผิดปกติ ราวกับจะร้องบอกว่า ”ระวัง !! มีบางสิ่งผิดปกติ” เมื่อเราได้รับการเตือน แล้วหันมาสังเกตลมหายใจหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เราจะพบว่ากิเลสนั้น ค่อย ๆ สลายตัวไป


การสังเกตลมหายใจหรือความรู้สึกทางกาย ก็คือการสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต แทนที่จะเป็นการหนีปัญหา กลับเป็นการเผชิญหน้ากับความจริงที่กำลังเกิดขึ้น ถ้าเราสังเกตความจริงนี้ ก็จะพบว่ากิเลสนั้นอ่อนกำลังลง จนไม่สามารถครอบงำเราได้เหมือนก่อน และถ้าเราสังเกตต่อไปเรื่อย ๆ มันก็จะสลายตัวไปในที่สุด ทำให้เรายังคงรักษาความสงบเอาไว้ได้


ยิ่งถ้าเราได้ฝึกปฏิบัติจนชำนาญมากขึ้น ก็จะพบว่ากิเลสถูกขจัดออกไปเร็วขึ้น จิตจะค่อย ๆ หลุดพ้นจากกิเลส เป็นจิตที่บริสุทธิ์ขึ้น จิตที่บริสุทธิ์นี้จะเต็มไปด้วยความรักความเมตตาต่อทุกคน เต็มไปด้วยความกรุณาต่อผู้ทุกข์ยาก เต็มไปด้วยความยินดีต่อความสำเร็จและความสุขของผู้อื่น และเต็มไปด้วยอุเบกขาในทุก ๆ สถานการณ์


นี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เป็นศิลปะของการดำเนินชีวิต พระองค์ไม่ได้สอนหรือตั้งลัทธิขึ้นใหม่ ทรงไม่เคยบอกให้สาวกของพระองค์ทำพิธีกรรมใด ๆ หรือทำตามรูปแบบใด ๆ อย่างงมงาย พระองค์ทรงสอนวิธีสังเกตธรรมชาติภายในตัวเองอย่างที่เป็นอยู่
และวิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความจริงภายในตัวเองในระดับประสบการณ์นี้ เรียกว่า “”วิปัสสนา””

ปัสสนา แปลว่า การเห็นด้วยตา

วิปัสสนา แปลว่า การเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามอย่างที่มันเป็นอยู่ ไม่ใช่ตามที่ดูเหมือนจะเป็น
เราต้องเจาะลึกลงไปในความจริงที่ผิวเผิน จนถึงความจริงอันสูงสุดของร่างกายและจิตใจ เมื่อเราเข้าถึงความจริงนี้แล้ว เราก็ย่อมเรียนรู้ที่จะหยุดการตอบโต้อย่างมืดบอด หยุดสร้างกิเลส และธรรมชาติก็จะทำหน้าที่ของมันเอง คือ ขจัดกิเลสเก่า ๆ ออกไปอย่างถอนรากถอนโคน ทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์และประสบแต่ความสุข..............


ด้วยวิถีแห่งโยคะ ทำให้ครูได้มีโอกาสรู้จักกับการทำสมาธิ แล้วเลยให้โอกาสตัวเองได้ลองฝึกสมาธิแบบที่เค้าเรียกกันว่า “”วิปัสสนา”” ดูบ้าง


ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สอง ที่ได้เข้าอบรม คอร์สวิปัสสนากรรมฐาน ใช้เวลา 10 วัน


มีกฎที่แสนจะเคร่งครัด อยู่ คือ ห้ามคุย ห้ามสบสายตา ห้ามสื่อสารกันไม่ว่าจะทางสายตา ท่าทาง ให้อยู่กับตัวเอง ถ้าเกิดปัญหาเรื่องการเป็นอยู่ ที่หลับที่นอน เรื่องอาหารการกิน เจ็บไข้ไม่สบาย ให้ไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเรียกว่า ธรรมบริกร หรือ ถ้ามีปัญหาเรื่องการนั่งสมาธิ มีความข้องใจ สงสัยเรื่องอะไร แม้จะเพียงเล็กน้อยให้ถามอาจารย์
การฝึกสมาธิ แต่ละที่ แต่ละแห่ง ก็มีแนวทางการฝึก ที่แตกต่างกันไป บางที่ ให้ภาวนา พุท โธ หรือ ยุบหนอ พองหนอ หรือมีการเดินจงกรมสลับกับการนั่งภาวนา แต่ที่นี่ ไม่ต้องทำวัตรเช้า เย็น ไม่ต้องสวดมนต์ คุณมีหน้าที่อย่างเดียว คือ นั่ง นั่ง และนั่ง
ตื่น ตี 4 เข้าห้องปฏิบัติ ตี 4.30 น แล้วก็นั่งสมาธิ เบรกทานอาหารเช้า แล้วกลับมานั่งต่อ ระหว่างชั่วโมง มีพักครั้งละ 10-15 นาที ทานอาหารเที่ยง พักนิดหน่อย แล้วนั่งกันต่อ ถึงเย็น แล้วต่อรอบค่ำอีก จน 3 ทุ่ม
ต้องยอมรับว่า ที่นี่เค้าฝึกกันหนักจริง ๆ ฝึกหนักแบบนี้เพื่อที่จะให้ 10 วันที่คุณทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง มันคุ้มค่ากับเวลาที่คุณได้เสียไป


ทีนี้มาดูกันว่า 10 วันทำอะไรกันบ้าง

3 วันครึ่ง ของการเริ่มต้น เป็นการนั่งสมาธิ เรียกว่า “”อานาปานสติ”” คือการสังเกตลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ด้วยการเพ่งความสนใจไปที่บริเวณใต้ช่องจมูกเหนือริมฝีปากบน โดยให้มีสติกำกับอยู่ตลอดเวลาไม่จำเป็นว่าจะสั้นหรือยาว แค่เพียงรู้ว่ากำลังหายใจเข้า หรือ หายใจออก และรู้เพียงแค่ว่าลมหายใจสั้นหรือยาว ก็พอ จุดมุ่งหมายเพื่อให้จิตใจสงบ
นับว่าเป็น 3 วันครึ่ง ที่ เรื่องราวมากมาย ทั้งที่ผ่านมาในอดีต และที่ยังไม่เกิดในอนาคต วนเวียนเข้ามาในจิตใจ ทั้งเรื่องที่ดี หรือเรื่องที่ร้าย ทั้งเรื่องของตนเอง และเรื่องของคนอื่น แถมด้วยเรื่องของอนาคตที่เกิดจากการปรุงแต่งเอาเองว่ามันจะเกิดแบบนั้นแบบนี้ หรือไม่เกิดอย่างนั้นอย่างนี้ (การทำให้จิตใจสงบนี่มันยาก มาก จริง ๆ !!!)
วันที่ 3 ช่วงบ่าย เริ่มขึ้น การทำวิปัสสนา ด้วยการเพ่งความสนใจไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เริ่มจากศีรษะไล่ลงไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จนถึงปลายเท้าและไล่กลับจากปลายเท้าจนถึงศีรษะ คอยสังเกตความรู้สึกใด ที่เกิดขึ้นกับร่างกายใจแต่ละส่วน อาจจะเป็น อาการคัน เจ็บ ปวดหนึบ ๆ รู้สึกเบาสบาย รู้สึกร้อน รู้สึกแห้ง รู้สึกชื้น หรือเป็นความรู้สึกอะไรก็ได้ บางครั้งไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ก็ถือเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งเหมือนกัน
แล้วจะทำอย่างไรกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น คำตอบ คือ ไม่ต้องทำอะไร แค่สังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้น และให้วางอุเบกขา (วางเฉย หรือปล่อยวาง)
เช่น เมื่อเพ่งความสนใจไปที่แก้มข้างซ้าย แล้วรู้สึกคัน ถ้าเป็นเวลาปกติ จิตใต้สำนึกจะสั่งให้เกาส่วนที่คันนั้นเสีย แต่ ถ้าฝึกวิปัสสนา เราแค่รู้ว่าคันอยู่ และให้เฉยเสีย ไม่ไปยินดี ยินร้าย ไม่ไปเกามันเพราะ เดี๋ยวความรู้สึกคันนั้นมันจะดับไปเอง อาจจะเร็วหรือช้า ก็ไม่ต้องไปสนใจมัน ให้เลื่อน ไปเพ่งจุดอื่นต่อไป

ฝึกมาก ๆ เข้า สมาธิจะเกิดความแหลมคมขึ้น ทำให้พิจารณาร่างกายและรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ได้ไวขึ้น
ส่วนที่เหลือคือการนำกลับมาใช้กับชีวิตประจำวัน ....นำมาดัดแปลงใช้กันเองนะคะ ครูก็ยังอยู่ในขั้นเริ่มฝึกหัดเท่านั้นเองค่ะ
ต้องไปฝึกเองถึงจะรู้นะคะ ครูบอกเป็นแนวทางให้เท่านั้นเอง.....
****แล้วคุณจะรู้ว่าชีวิตที่สุขและสงบมันหาได้ไม่ยากเลยค่ะ****